คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความในสัญญามีว่า ได้ซื้อขายที่ดินกันและได้ชำระราคากันเสร็จแล้ว แต่มีกล่าวไว้อีกว่าคู่สัญญาจะต้องไปทำการโอนโฉนดที่ดินที่ซื้อขายให้แก่กันภายในกำหนด ดังนี้ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้ว ผู้ขายถึงแก่กรรมลงก่อนทำการโอน ดังนี้ ผู้ซื้อย่อมฟ้องผู้รับมรดกของผู้ขายให้ทำการโอนที่ดินนั้น ให้ตามสัญญาได้
โจทก์เคยฟ้องจำเลย ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ซื้อไว้จากผู้ตาย เป็นกรรมสิทธิของโจทก์ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ จึงพิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องใหม่ให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้น ให้แก่โจทก์ ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางแม้นได้ทำหนังสือขายที่นาส่วนของตนให้แก่โจทก์ ราคา ๕,๐๐๐ บาท รับเงินไปเสร็จแล้ว สัญญาจะโอนที่นาให้ภายใน ๑ เดือน แต่นางแม้นตายลงเสียก่อน จึงขอให้จำเลยผู้รับมรดกตามพินัยกรรมโอนให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยปฏิเสธสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาซื้อขายมีความว่า นางแม้น ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกับนางเจือ ขายที่ดินโฉนดที่ ๒๐๖๖ ซึ่งเป็นส่วนของนางแม้นให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐๐ บาท ผู้ขายได้รับเงินนั้นไปครบถ้วนแล้ว ผู้ขายสัญญาว่าจะไปทำการโอนให้แก่ผู้ซื้อภายในกำหนด ๑ เดือน หาครบสัญญาแล้วผู้ขายไม่ได้โอน ยอมให้ฟ้องศาลบังคับได้ ดังนี้ ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดไม่
ส่วนข้อฟ้องซ้ำ ก็ได้ความว่าโจทก์เคยฟ้องศาลขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์ซื้อไว้จากนางแม้นเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ และห้ามจำเลยไม่ให้มาเกี่ยวข้อง ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิดังนี้ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และปรากฎว่า จำเลยเป็นทายาทของนางแม้นโดยพินัยกรรม จำเลยจึงต้องรับผิดตาม+แห่งฎีกาที่ ๑๐๖/๒๔๘๘
จึงพิพากษายืน

Share