ตั๋วเงิน ค้ำประกัน จำนอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2562
ใช้เวลาอ่านประมาณ 1 นาที
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง” และมาตรา 169 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้าให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา…” เมื่อตามสัญญาค้ำประกัน จ.8 ถึง จ.10 ข้อ 8 ระบุว่า ผู้ค้ำประกันตกลงว่าในกรณีที่ธนาคารมีหนังสือแจ้งหรือบอกกล่าวเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการค้ำประกันตามหนังสือสัญญานี้ หรือตามกฎหมาย หากส่งไปยังผู้ค้ำประกัน ณ ที่อยู่ดังกล่าวข้างต้นของหนังสือสัญญานี้ หรือส่ง ณ สถานที่ซึ่งผู้ค้ำประกันแจ้งให้ธนาคารทราบเป็นหนังสือในภายหลัง ให้ถือว่าธนาคารได้แจ้งหรือบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้ค้ำประกันทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยแจ้งย้ายให้โจทก์ทราบ ดังนั้น ที่พนักงานไปรษณีย์นำหนังสือทวงถามของโจทก์เอกสารหมาย จ.16 และ จ.19 ไปส่งให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 9/5 หมู่ที่ 3 ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสัญญา อันเป็นการส่งอย่างเป็นทางการ แม้จะไม่พบจำเลยที่ 2 และไม่มีผู้ใดรับไว้โดยระบุว่าย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ แสดงว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ และถือได้ว่าหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของโจทก์ได้ไปถึงจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ยังปรากฏว่าก่อนฟ้องโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามที่อยู่เดียวกันกับคำฟ้อง ซึ่งมีผู้รับแทนจำเลยที่ 2 ไว้ด้วยตามเอกสารหมาย จ.24 มีผลเป็นการบอกกล่าวโดยชอบตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นประกอบมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าการส่งคำบอกกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.16 ถึง จ.19 และ จ.24 เป็นไปโดยชอบ และตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อการนำเข้าและตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.7 ครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2558 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2558 ตามลำดับ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ ตามพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ได้ความตามหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.16 และ จ.18 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2558 สำเนาซองจดหมายลงทะเบียนตอบรับระบุว่า “ย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่” โดยไม่ปรากฏหลักฐานวันที่โจทก์นำส่งหรือวันที่จดหมายไปถึงที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ชัดเจนเมื่อเป็นที่สงสัยจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่ลูกหนี้ กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.16 และ จ.18 ได้ไปถึงจำเลยที่ 2 ภายในกำหนดเวลา 60 วัน นับแต่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด แต่เมื่อตรวจสอบหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.17 และ จ.18 ลงวันที่ 29 กันยายน 2558 ซึ่งมีการส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ปรากฏในตราประทับประจำวันที่ทำการรับฝากระบุว่า วันที่ 2 ตุลาคม 2558 ในหน้าซองจดหมายระบุว่า “ย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่” และในข้อความนำจ่ายผู้รับระบุว่า 3/10 ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงพออนุมานได้ว่าหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ดังกล่าวได้ไปถึงจำเลยที่ 2 ภายหลังวันที่ 2 ตุลาคม 2558 อันเป็นเวลาที่พ้นกำหนด 60 วัน นับแต่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวตามวรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 2 รับผิดในดอกเบี้ยของต้นเงินจำกัดเฉพาะช่วงเวลา 60 วัน นับแต่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดจึงชอบแล้ว
อนึ่ง เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระจึงให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 (ฎีกาที่ 3263/2562)