คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กฎหมายทะเลของประเทศไทยในขณะนี้ยังไม่มี ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฎ เมื่อเกิดมีคดีขึ้น จึงควรเทียบวินิจฉัย ตามหลักกฎหมายทั่วไป.
สัญญาประกันภัยทางทะเลทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ จึงควรยึดกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศ อังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อเทียบเคียงวินิจฉีย.
คำว่า “อันตรายทางทะเล” หรือ “ภยันตรายแห่งทะเล” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Peril of the sea” นั้น ย่อมหมาย ถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาลได้หาจำจะต้องคำนึงถึงว่า ขณะนั้นทะเลเรียบร้อยอยู่ หรือทะเลเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงในระหว่างเดินทางในทะเลโดยไม่ใช่ความผิดของใคร ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่านทะลอยู่แล้ว เป็นอันตรายทางทะเลตามความ หมายแห่งการประกันภัยทางทะเลแล้ว ตามที่ศาลอังกฤษถือตามกันมาก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเล หรือเนื่องจากทะเล.
โจทก์ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์จำนวนหนึ่ง บรรทุกเรือยนต์ตรังกานูไปจังหวัดสงขลา ไว้กับจำเลย หรือตรังกานูออก จากท่ากรุงเทฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ 10 ไมล์เศษเกิดมีคลื่นลมจัด เรือ โคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรือตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำก็ไม่ดีขึ้น ใน ที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับนายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรือยนต์อื่นมาช่วยถ่ายคนและลากเรือตรังกานูมา ปล่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ,แล้วได้จ้างเรือเล็กลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่ง ป้อมผีเสื้อสมุทร ปูน ซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิง ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เนื่องจากเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอัน ตรายทางทะเล แล้วบริษัทผู้รับประกันต้องรับผิด ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์ของบริษัทจำนวน ๑๕๐๐ ถุง บรรทุกในเรือนยนต์ “ตรังกานู” จากจังหวัดพระนคร ไปยังจังหวัดสงขลาเป็นจำนวนเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท บัดนี้ เรือยนต์ตรังกานูได้อับปางลงในอ่าวไทยได้ออับปางลงในอ่าวไทย ตอนแหลมปลายสพานป้อมผีเสื้อสมุทร น้ำท่วมเต็มล้นปากระวางเรือ สินค้าและสิ่งของต่าง ๆ ที่บรรทุกในเรือ เสียหาย หมดสิ้น เป็นการสูญเสียทั้งลำเรือ เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์เสียหายปูนซิเมนต์ ๑๕๐๐ ถุง จำเลยกลับบิดพลิ้วไม่ใช้ค่าเสีย หายตามจำเนวนในกรมธรรม์ จึงขอให้ศาลบังคับ.
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยรับประกันภัยปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่บรรทุกในเรือตรังกานู ต่อเมื่อเรือได้สูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจาก อันตรายทางทะเล โดยเฉพาะเท่านั้น เรือง “ตรังกานู” ไม่ได้รับอันตรายและที่เนื่องจากอันตรายทางทะเล เรือไม่ได้สูญ เสียสิ้นเชิง ตามสัญญาประกันภัยจำเลยไม่ได้รับประกันภัยอันตรายที่เกิดจากเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เรือได้สูญเสีย โดยสิ้นเชิง เนื่องจากอันตรายทางทะเล
ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว ฟังว่าปูนซิเมนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทจำเลย ได้รับความเสียหาย (ซึ่งโจทก์จำเลย แถลงรับกันแล้วว่า เปียกน้ำเสียทั้งหมด) เพราะเรือสูญเสียสิ้นเชิงเนื่องจากอันตรายทางทะเล ซึ่งบริษัทจำเลยต้องรับ ผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์เห็ฯว่า เหตุที่เกิดแก่เรือตรังกานูครั้งนี้ มิใช่เพราะภัยทางทะเล หากแต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความชำรุด ทรุดโทรมตามธรรมดา ทำให้เรือรั่วน้ำไหลเข้าเรือแล่นต่อไปไม่ได้ เป็นการเรียกได้ว่าเรือรั่วตามธรรมดา (Ordimary
leakage) ไม่ใช่เกิดจากภัยทะเลตามข้อความในกรมธรรม์บริษัทจำเลยไม่มีความรับผิดตามกรมธรรม์ในความเสียหาย ครั้งนี้ต่อบริษัทโจทก์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง.
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เรือตรังกานูได้บรรทุกปูนซิเมนต์ของโจทก์ที่เอาประกันวินาศภัยไว้กับ จำเลย ออกจากท่ากรุงเทพฯ จะไปจังหวัดสงขลา พ้นสันดอนปากน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ ๑๐ ไมล์เศษ เกิดมีคลื่น ลมจัด พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้เรือโคลงมาก และน้ำเข้าเรือมาก ถ้าไม่กลับเรือจะจม เรืองตรังกานูจึงได้แล่นกลับ พยายามแก้ไขและวิดน้ำ ก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดน้ำท่วมเครื่องดับ นายเรือให้สัญญาณบอกเหตุเรืออับปาง มีเรืออารมย์สินมา ช่วยถ่ายคน และเรือวิกตอรี่ช่วยลากเรือตรังกานูมาปบ่อยไว้ที่กลางน้ำหน้าที่ทำการไปรษณีย์ปากน้ำ แล้วได้จ้างเรือเล็ก ลากเข้าฝั่งเกยตื้นจมอยู่ที่ฝั่งป้อมผีเสื้อสมุทร ปูนซิเมนต์ถูกน้ำท่วมเสียหายโดยสิ้นเชิง.
ได้ความว่าเหตุที่น้ำเข้าเรือนั้นเป็นเพราะแนวเรือแตก หมันของเรือหลุดทำให้ไม้คิ้วเรือแยกออกจากทวนหัวเรือ ตาม ความสันนิษฐานของนายช่างตรวจเรือ หัวเรือแยกเกิดจาก+ วิ่งฟันคลื่นก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะเรือไปกระแทกของแข็ง อื่น ก็ได้.
การที่เรือตรังกานูต้องจมลง แม้จะได้จ้างเรือเล็กจูงเข้าไปเกยตื้นไว้ แต่ก็ปรากฎว่าน้ำท่วมเต็มล้นปากระวางเรือสินค้า และสิ่งของต่าง ๆ ที่บรรทุกอยู่ในลำเรือเสียหายหมดสิ้น อาการเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการอับปางเรือตรังกานูสิ้นสภาพ ที่จะเป็ฯเรือลอยลำอยู่ได้อีกแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอาการที่ ” เรือได้สูญเสียสิ้นเชิง” ตามความหมายของสัญญาประกัน วินาศภัยที่ได้ตกลงกันไว้นั้นแล้ว การสูญเสียสิ้นเชิงหาจำจะต้องเป็นการเรือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือกลายเป็น อากาศธาตุไปทั้งหมดตามคำโต้แย้งของจำเลยไม่.
จำเลยโต้แย้งว่า คำว่าา “อันตรายทางทะเล” ตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้น หมายความแต่ว่าเป็นอันตรายซึ่งเกิดจากคลื่น ลมพายุที่มีมาอย่างหนักผิดปกติ ฯลฯ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำว่า “อันตรายทางทะเล” หรือ “ภยันตรายแห่งทะเล” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้ใน กรมธรรม์ประกันภัยว่า ” Peril of the sea ” นั้น ก็ย่อมหมายถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาล ได้ หาจำต้องคำนึงว่า ขณะนั้นทะเลยเรียบอยู่หรือทะเลยเป็นบ้าอย่างใดไม่ การที่เรือเกิดรั่วต้องอับปางลงระหว่างเดิน ทางในทะเลยโดยไม่ใช่ความผิดของใครเช่นนี้ ย่อมเป็นอันตรายที่เรือนั้นจะต้องประสพโดยวิสัยในการเดินทางผ่าน ทะเลอยู่แล้วเป็นอันตรายทางทะเลตามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัยอันพึงอนุมานได้อยู่แล้ว
จริงอยู่ ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๖๘ บัญญัติไว้ว่า “อันสัญญาประกันภัยทะเล ท่านให้ใช้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ทะเล” ซึ่งกฎหมายทะเลของประเทศไทยยังหามีไม่ ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฎ ควรเทียบวินิจฉัยคดีนี้ตามหลักกฎ หมายทั่วไปตามมาตรา ๔ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ สัญญาประกันภัยรายนี้ ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ศาลฎีกาเห็นว่าควรถือกฏ ่หมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของแระเทศอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไป เพื่อเทียบเคียงวินิจฉัยด้วย แต่อย่างไรก็ดี แม้ตามมารีนอินชัวรันช์แอคท์ ค.ศ. ๑๙๐๖ (+) มาตรา ๖๐ จะได้ให้คำจำกัดความในเรื่องสูญเสียสิ้นเชิง (Total loss) ไว้ ให้มีความสูญเสียสิ้นเชิงโดยสันนิษฐาน ( Eonstructive total loss) ได้ด้วย ก็ดี แต่ความในที่นั้นสำหรับที่จะใช้กับเรือ หมายถึงแต่เฉพาะในกรณีที่เรือเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยเท่านั้น ในคดีนี้สินค้าปูนซิเมนต์ต่างหากเป็นวัตถุที่เอาประกัน ภัยและก็ได้สูญเสียสิ้นเชิงไปโดยจริงจังแล้ว เพราะเหตุที่เรือบรรทุกหมดสภาพเป็นเรือที่ลอยลำได้ต่อ ในกรณีที่ประกัน สินค้าบรรทุกเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเรือได้สูญเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว
ข้อที่จะต้องเทียบเคียงจึงอยู่ที่ว่า “อันตรายทางทะเล” หรือ “ภยันตรายแห่งทะเล” กล่าวคือว่าสินค้าปูนซิเมนต์นั้นได้สูญ เสียสิ้นเชิงไปโดยภยันตรายแห่งทะเลหรือไม่ มารีนอินชัวรันซ์แอคท์ ค.ศ.๑๙๐๖ มาตรา ๕๕ ก็เพียงแต่กล่าวว่า ผู้รับประ กันภัยจะต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นโดยใกล้ชิดกับอันตรายที่เอาประกันไว้ คำว่า Perils of the sea ตามที่ ศาลอังกฤษถือตามกันมา ก็ถืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยโชคกรรมจากทะเลหรือเนื่องจากทะเล.
ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุที่เกิดเป็นเหตุเพราะความชำรุดทรุดโทรมธรรมดา บริษัทจำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลอุทธรณ์เอาความเสียหายหรือความวินาศของเรือกับความวินาศของปูนซิเมนต์ อันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ไปปะปนกัน ในเรื่องนี้ วัตถุที่เอาประกันภัยคือปูนซิเมนต์ อันเป็นสินค้าบรรทุก ก็จำจะต้องวินิจฉัยว่าความวินาศนั้นได้ เกิดจากความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุของสินค้านั้นหรือไม่ จะไปยกเอาความไม่สมประกับของเรือมาวินิจฉัยให้ ไม่ต้องรับผิดในความวินาศของสินค้าบรรทุกนั้น หาได้ไม่.
จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น . ฯลฯ

Share