แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงร่วมกันว่าหากเสียงส่วนใหญ่ของผู้จัดการมรดกซึ่งมีอยู่ 5 คนรวมทั้งคู่ความยอมตกลงจ่ายเงินมรดกให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองก็ยอมจ่ายให้และ โจทก์ไม่ติดใจเรียกดอกเบี้ย ดังนี้ ถือได้ว่ามีลักษณะเป็นคำท้าหรือมีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 เมื่อปรากฏว่า ผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากยอมตกลงจ่ายเงินมรดกให้โจทก์ เงื่อนไข จึงสำเร็จครบถ้วนตามข้อตกลง ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องพิพากษา ให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น การที่ศาลชั้นต้นยังไกล่เกลี่ยคู่ความ ให้ตกลงกันและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปอีกเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณา ที่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลย่อมมีอำนาจ เพิกถอนกระบวนพิจารณานั้นได้และพิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลงท้ากัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นทายาทร้อยเอกหลวงไวรณการ จำเลยที่ 1ที่ 2 กับโจทก์และบุคคลอื่นรวม 5 คน เป็นผู้จัดการมรดกร้อยเอกหลวงไวรณการ จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้เก็บรักษารับจ่ายเงินกองมรดกซึ่งฝากไว้กับธนาคารจำเลยที่ 3 คณะผู้จัดการมรดกได้ตกลงเรื่องการเงิน คงเหลือส่วนที่โจทก์จะได้รับอีก 9,429.32 บาท แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่จ่ายให้โจทก์ โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งจ่ายเงินในบัญชีเงินฝากกองมรดกให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ยอมสั่งจ่ายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้จ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพากษายกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่ามติที่ประชุมคณะผู้จัดการมรดกไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งจ่ายเงินในบัญชีเงินฝากกองมรดกหลวงไวรณการ จำนวน 9,429.32 บาท แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องพิจารณาในเบื้องแรกเสียก่อนว่า คดีนี้มีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีซึ่งศาลต้องพิพากษาให้เป็นไปตามนั้น หรือต้องพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางนำสืบของคู่ความซึ่งปัญหานี้ปรากฏในสำนวนว่าก่อนมีการสืบพยานศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 23 กันยายน 2526 ว่าคู่ความแถลงร่วมกันว่า หากเสียงส่วนใหญ่ของผู้จัดการมรดกซึ่งมีอยู่ 5 คนรวมทั้งคู่ความยอมตกลงจ่ายเงินมรดกให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองก็ยอมจ่ายให้ และเมื่อจำเลยยอมจ่ายให้โจทก์ก็ไม่ติดใจเรียกดอกเบี้ย คู่ความแถลงเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้นายเล็ก ไวทยานุวัตติ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกคนหนึ่งได้มาศาลด้วยศาลได้สอบถามนายเล็ก นายเล็กไม่ขัดข้องที่จะให้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ โจทก์แถลงว่า โจทก์จะมีหนังสือเชิญนายกฤตย์ผู้จัดการมรดกอีกคนมาศาลในนัดหน้าด้วย และให้แจ้งนายกฤตย์ไปด้วยว่า หากไม่มาศาลตามวันที่ศาลนัดพร้อม ถือว่าไม่ค้าน จึงให้นัดพร้อมในวันที่ 21 ตุลาคม 2526 เวลา 8.30 นาฬิกา เมื่อถึงวันนัดศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 21 ตุลาคม 2526ว่า นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ ก่อนสืบพยานโจทก์ นายกฤตย์ไวทยานุวัตติ ผู้จัดการมรดกคนหนึ่งของผู้ตายมาศาลพร้อมกับยื่นคำแถลงว่า ไม่คัดค้านที่กองมรดกของผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2จะจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้อง ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันฝ่ายจำเลยทั้งสองยอมชำระเงินตามฟ้องให้โจทก์ แต่วันนี้ไม่มีเงินสดหรือเช็คมา โจทก์จึงขอให้ฝ่ายจำเลยนำเงินสดมาชำระหรือออกเช็คให้แล้วโจทก์จะถอนฟ้อง คู่ความขอให้สืบพยานไปก่อนโดยจำเลยทั้งสองรับว่า ในนัดหน้าจะนำเงินสดเท่าที่โจทก์เรียกร้อง หรือออกเช็คสั่งจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องมามอบให้โจทก์โจทก์สืบพยานได้ 2 ปาก แล้วแถลงหมดพยานบุคคล แต่ยังติดใจอ้างเอกสารอีก 2 ฉบับ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 12 ธันวาคม2526 เวลา 9 นาฬิกา วันที่ 26 ตุลาคม 2526 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลและการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่21 ตุลาคม 2526 ว่า ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 ซึ่งในวันนั้นนายกฤตย์ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งยื่นคำแถลงไม่คัดค้านแล้วศาลต้องพิพากษาไปตามประเด็นคำท้าจะย้อนไปดำเนินกระบวนพิจารณาตามประเด็นข้อพิพาทอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องคัดค้านของโจทก์แล้วดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไปในวันที่ 12 ธันวาคม 2526 แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่หยิบยกขึ้นมาดังกล่าวฉบับแรก มีข้อความว่า หากผู้จัดการมรดกเสียงข้างมากคือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ยอมจ่ายเงินจากกองมรดกให้โจทก์จำเลยทั้งสองก็ยอมจ่ายให้หรืออีกนัยหนึ่งจำเลยยอมแพ้นั่นเองจึงมีลักษณะเป็นคำท้า หรือเรียกได้ว่ามีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนฟ้อง และข้อตกลงนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 แล้ว และต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับหลังว่า นายกฤตย์ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งได้ยื่นคำแถลงไม่คัดค้านในการจ่ายเงินมรดกให้โจทก์จึงครบ 3 คนเป็นเสียงข้างมากในคณะผู้จัดการมรดกแล้ว แม้จะมีข้อความต่อมาว่า ให้สืบพยานโจทก์ไปก่อนรวมทั้งข้อตกลงที่จะให้โจทก์ถอนฟ้องไปก็ตาม ก็ไม่ทำให้ข้อตกลงหรือคำท้าตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับแรกนั้นยกเลิกไปเพราะศาลชั้นต้นมีหน้าที่จะต้องพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลงในคำท้านั้นโดยไม่ต้องดำเนินการพิจารณาคดีอย่างใดต่อไปแล้ว เมื่อฟังได้ว่ามีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 และเงื่อนไขสำเร็จครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว ศาลชั้นต้นกลับจดรายงานกระบวนพิจารณาในฉบับหลังว่า วันนี้เป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ทั้ง ๆ ที่เป็นวันนัดพร้อม และเมื่อปรากฏว่า นายกฤตย์ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งไม่คัดค้านแล้ว ศาลชั้นต้นก็ยังไกล่เกลี่ยและให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปอีก เช่นนี้ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาฝ่าฝืนกฎหมายขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ดังนั้นกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปหลังจากเงื่อนไขตามข้อตกลงสำเร็จแล้วจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณานั้นเสียได้ และต้องพิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลงท้ากัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ