แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล อธิบดีซึ่งเป็นผู้แทนของกรมโจทก์มอบอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดฟ้องคดีแทน ดังนี้อากรสำหรับการมอบอำนาจซึ่งกรมโจทก์เป็นฝ่ายที่ต้องเสียจึงเป็นอันไม่ต้องเสียตามประมวลรัษฎากร มาตรา 121 โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 4 ให้มีหน้าที่และรับผิดชอบโดยตรงในด้านการเงินและทะเบียนยานพาหนะ แต่จำเลยที่ 3 ไม่เคยตรวจตราอย่างใกล้ชิดในการเก็บรักษาเงิน และไม่ดูแลในการนำเงินส่งคลังให้เป็นไปตามระเบียบเป็นการประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฉวยโอกาสยักยอกเงินของทางราชการไป จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 4 มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร ย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบงานในหน่วยราชการที่ตนมีหน้าที่ควบคุมอยู่ แม้จะมอบหมายหน้าที่การเงินให้จำเลยที่ 3 ดูแลแทน จำเลยที่ 4 ก็ยังต้องมีหน้าที่ดูแลมิให้เกิดการเสียหาย เมื่อจำเลยที่ 4 ปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบในการรักษาเงินโดยไม่เก็บรักษา กุญแจไว้กับตนกลับมอบให้จำเลยที่ 3 ซึ่งถือกุญแจอยู่อีก 1 ดอก เป็น การเปิดช่องให้มีการยักยอกเงินสะดวกขึ้นเมื่อมอบหมายให้จำเลยที่ 3ปฏิบัติหน้าที่แทนตนก็มิได้ตรวจตราควบคุมดูแลการนำเงินเข้าและออกจากที่เก็บตลอดจนมิได้ตรวจสอบทะเบียนเงินยืมและเร่งรัดให้มีการส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมตามระเบียบจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันปลอมใบยืมและเบิกเงินไปโดยผิดระเบียบถึง 29 ครั้ง ถือว่า เป็นความประมาทเลินเล่อ เมื่อเกิดความเสียหายอันเป็นผล ของความประมาทเลินเล่อดังกล่าวจำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาอันเป็นหน่วยงานของโจทก์ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับรองการยืมเงินปลอมเพื่อยืมเงินทดรองไปราชการในนามของตนรวม 12 ฉบับและในนามของบุคคลอื่นอีก 17 ฉบับ แล้วนำสัญญาดังกล่าวแสดงต่อจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีมีหน้าที่เก็บรักษาเงินและทำบัญชีรับจ่ายเงินทุกประเภทแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันเบียดบังเอาเงินค่าภาษีรถยนต์และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนซึ่งโจทก์จัดเก็บมาไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองรวมเป็นเงิน 337,600 บาทต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งเงินใช้คืนโจทก์เป็นเงิน 10,560 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้คืนเป็นเงิน 327,040 บาท จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาและจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาและรับผิดชอบการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ทุจริต เบียดบัง ยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวเป็นประโยชน์ส่วนตน จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินคืนแก่โจทก์ 327,040 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การว่าหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่สมบูรณ์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองไม่ได้ประมาทเลินเล่อและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่โจทก์เป็นเงิน 327,040 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 3 และที่ 4อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับฎีกาข้อแรกของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งจำเลยอ้างว่าใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามประมวลรัษฎากรมาตรา 121 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2508 มาตรา 27 บัญญัติว่า”ถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นรัฐบาล เจ้าพนักงานผู้กระทำงานของรัฐบาลโดยหน้าที่บุคคลผู้กระทำการในนามของรัฐบาล…ฯลฯ…อากรเป็นอันไม่ต้องเสีย…” ดังนั้นเมื่อโจทก์คดีนี้เป็นกรมในรัฐบาลอธิบดีซึ่งเป็นผู้แทนของกรมโจทก์มอบอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดฟ้องคดีแทนอากรสำหรับการมอบอำนาจซึ่งกรมโจทก์เป็นฝ่ายที่ต้องเสีย จึงเป็นอันไม่ต้องเสีย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง…ฯลฯ
ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น… เห็นว่า จำเลยที่ 3 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 4ให้มีหน้าที่และรับผิดชอบโดยตรงในด้านการเงินและทะเบียนยานพาหนะนอกจากจำเลยที่ 3 จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบในการเก็บรักษาเงินกล่าวคือ ไม่เคยตรวจตราอย่างใกล้ชิดในการเก็บรักษาเงินแล้วยังไม่เอาใจใส่ดูแลในการนำเงินส่งคลังให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังดังกล่าวด้วย นับว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างมาก เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฉวยโอกาสที่จำเลยที่ 3ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวยักยอกเงินของทางราชการไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 4 โดยตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบงานในหน่วยราชการที่ตนมีหน้าที่ควบคุมอยู่ แม้จะได้มอบหมายหน้าที่การเงินให้จำเลยที่ 3 ไปดูแลแทนจำเลยที่ 4 ก็ยังต้องมีหน้าที่ดูแลมิให้เกิดการเสียหาย ได้ความตามคำเบิกความของพันตำรวจตรีบัวศรี จิตรปลื้ม และนายดาบตำรวจสมพงษ์ เดชพร เจ้าหน้าที่การเงินของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาว่า จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการรักษาเงินด้วยแต่เมื่อจำเลยที่ 4 มอบหมายหน้าที่การเงินให้จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 4 ก็ไม่ได้มาตรวจตราเรื่องการเงิน ลูกกุญแจที่เก็บรักษาเงินโดยหน้าที่จำเลยที่ 4 ในฐานะกรรมการรักษาเงินต้องถือไว้1 ดอกตามที่กระทรวงการคลังวางระเบียบไว้เพื่อให้กรรมการแต่ละคนควบคุมซึ่งกันและกันอยู่ในตัว การจะนำเงินเข้าออกจากที่เก็บต้องมีพยานร่วมรู้เห็นเพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับเงินของรัฐ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 หาได้ตระหนักถึงข้อนี้ไม่ กลับมอบกุญแจให้จำเลยที่ 3 ซึ่งมีหน้าที่ถือกุญแจอยู่ 1 ดอกแล้ว ให้ถือกุญแจของจำเลยที่ 4 เพิ่มขึ้นอีก 1 ดอกด้วย เป็นการเปิดช่องทางให้มีการยักยอกเงินได้สะดวกขึ้นอีก เห็นว่าจำเลยที่ 4 นอกจากจะปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบในการเก็บรักษาเงินดังกล่าวแล้วยังไม่ยอมเก็บรักษากุญแจในฐานะเป็นกรรมการรักษาเงินไว้กับตน ทั้งเมื่อได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่แทนตนแล้ว ก็มิได้ตรวจตราควบคุมดูแลการนำเงินเข้าและออกจากที่เก็บตลอดจนมิได้ตรวจสอบทะเบียนเงินยืมและเร่งรัดให้มีการส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมตามระเบียบจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันปลอมใบยืมและเบิกเงินไปโดยผิดระเบียบเป็นจำนวนถึง 29 ครั้ง ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อเมื่อเกิดการเสียหายอันเป็นผลของความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวจำเลยที่ 4 จึงหาพ้นความรับผิดชอบในเงินที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ยักยอกไปไม่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน