แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 มิใช่เป็นบทบัญญัติที่ได้กำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานงานบังคับคดีอย่างเดียว แต่ได้บัญญัติให้อำนาจศาลในอันที่จะมีคำสั่งงดการบังคับคดีได้เมื่อเห็นสมควรไว้ด้วย ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 นั้นเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลสั่งงดการบังคับคดีได้ในเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจจะชนะคดีและนำคดีนั้นมาหักกลบลบหนี้กันกับหนี้ตามคำพิพากษาที่กำลังบังคับคดีกันอยู่ แต่หากมีกรณีอื่นที่กฎหมายบัญญัติให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีดังเช่นมาตรา 292(2)ศาลก็ย่อมมีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีได้ และในการที่ศาลจะใช้ดุลพินิจสั่งให้งดการบังคับคดีหรือไม่นั้นศาลจะต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยความเป็นธรรมโดยใช้วิจารณญาณประกอบด้วย
ย่อยาว
สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นที่งอกริมตลิ่ง เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2ที่ 3 ออกโฉนดที่งอกริมตลิ่งดังกล่าวให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าที่งอกริมตลิ่งตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินที่งอกให้แก่โจทก์ต่อไป คดีถึงที่สุด และศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวตามคำแถลงของโจทก์แล้ว
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว โจทก์แถลงค้านและยืนยันให้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 กับขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยทั้งสองมาสอบถามถึงสาเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาเพื่อจะดำเนินการออกหมายจับต่อไป
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและนัดฟังคำสั่ง ทนายจำเลยแถลงว่าที่พิพาทเป็นทางน้ำตื้นเขินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่โจทก์ชนะคดีเนื่องจากการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ร้องทุกข์และกล่าวโทษให้ดำเนินคดีโจทก์ในความผิดฐานบุกรุกที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และดำเนินคดีแก่นายสุรพงษ์ วัฒนพานิช พนักงานอัยการผู้แก้ต่างคดี กับนายศุภโชค สุขสิน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 3ในฐานสนับสนุนให้โจทก์บุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินและในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยร้องทุกข์และกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างสอบสวนของพนักงานสอบสวนโจทก์แถลงว่า จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำบังคับของศาลได้และบัดนี้ครบกำหนดตามคำบังคับแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ออกโฉนดและชำระค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีมีเหตุอันควรให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการดำเนินคดีตามที่ทนายจำเลยแถลงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)จึงมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว เมื่อผลคดีเป็นประการใดแล้ว ให้โจทก์จำเลยแถลงเพื่อดำเนินการต่อไป คำร้องของโจทก์ที่ขอให้หมายเรียกจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาสอบถามเพื่อออกหมายจับในชั้นนี้จึงให้งดไว้ก่อนเช่นเดียวกันโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้งดการบังคับคดีเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวตามเงื่อนไขที่ศาลชั้นต้นกำหนด ให้โจทก์บังคับคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ได้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า กรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) นั้น คำสั่งดังกล่าวของศาลที่ให้งดการบังคับคดีไว้แม้จะให้อำนาจแก่ศาลที่สามารถใช้ดุลพินิจงดการบังคับคดีไว้ดุลพินิจของศาลดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยเหตุผลอันสมควร กล่าวคือถ้าศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวในระยะเวลาที่กำหนดเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วสามารถทำให้เรื่องของการบังคับคดีเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้แล้ว แต่ศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งถ้าหากลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายชนะคดีแล้วจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ เพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ จึงขอให้งดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 แต่ในคดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องของดการบังคับไว้โดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ได้ร้องทุกข์และกล่าวโทษโจทก์เป็นคดีอาญาในฐานความผิดบุกรุกที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่สามารถเปลี่ยนแปลงการบังคับคดีและคำพิพากษาคดีนี้ได้แม้จำเลยที่ 2เป็นฝ่ายชนะคดีดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง จำเลยที่ 2 ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอยู่เช่นเดิม และข้ออ้างดังกล่าวก็เป็นข้ออ้างที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นที่งอก ไม่อาจนำมาวินิจฉัยได้อีก จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)นั้น พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292บัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีในกรณีต่าง ๆ หลายกรณีด้วยกัน และโดยเฉพาะใน (2) ได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ ฯลฯ” แสดงว่ามาตรา 292 นี้มิใช่เป็นบทบัญญัติที่ได้กำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีอย่างเดียว แต่ได้บัญญัติให้อำนาจศาลในอันที่จะมีคำสั่งงดการบังคับคดีได้เมื่อเห็นสมควรไว้ด้วย ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 นั้นเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลสั่งงดการบังคับคดีได้ในเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจจะชนะคดีและนำคดีนั้นมาหักกลบลบหนี้กันกับหนี้ตามคำพิพากษาที่กำลังบังคับคดีกันอยู่ แต่มิใช่ว่าศาลจะมีอำนาจสั่งงดการบังคับได้เฉพาะกรณีตามมาตรา 293 เพียงกรณีเดียวหากมีกรณีอื่นที่กฎหมายบัญญัติให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีได้ดังเช่นที่มาตรา 292(2) บัญญัติไว้ ศาลก็ย่อมมีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีได้และในการที่ศาลจะใช้ดุลพินิจสั่งให้งดการบังคับคดีหรือไม่นั้นศาลจะต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยความเป็นธรรมโดยใช้วิจารณญานประกอบด้วยสำหรับกรณีนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ประกอบด้วยคำแถลงของทนายจำเลยโดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งเป็นประการอื่นว่าคณะกรรมการที่กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่โจทก์ขอให้ออกโฉนดที่พิพาทมีความเห็นว่าที่พิพาทเป็นท้องทางน้ำตื้นเขินและเกาะกลางลำน้ำปิง อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ย่อมไม่สามารถนำไปออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ใดได้ และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในฐานความผิดบุกรุกที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และดำเนินคดีแก่นายสุรพงษ์ วัฒนพานิช พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แก้ต่างคดีให้จำเลย กับนายศุภโชค สุขสิน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานสนับสนุนให้โจทก์บุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินตลอดจนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2529 เรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน เช่นนี้ เห็นว่า ตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแล้วนั้น ข้อเท็จจริงน่าจะมีมูลตามที่กล่าวอ้าง เพราะมีเงื่อนงำและเลศนัยอยู่ว่าโจทก์และพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต หากบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ดำเนินการออกโฉนดที่พิพาทให้แก่โจทก์ไปในชั้นนี้อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและแก่บุคคลภายนอกที่อาจจะรับโอนที่พิพาทต่อจากโจทก์โดยสุจริตก็ได้ ดังนั้น เมื่อได้ใช้วิจารณญาณคำนึงผลได้ผลเสียโดยละเอียดรอบคอบแล้ว กรณีมีเหตุสมควรงดการบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวตามเงื่อนไขที่ศาลชั้นต้นกำหนด เพื่อรอผลคดีตามที่ทนายจำเลยได้แถลงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2529 ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน