แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ขณะจะขาดจากการสมรสใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว เหตุที่จะขาดจากการสมรสต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 บังคับ และการที่สามีภริยามาร้างกันระหว่างใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 สามีขายทรัพย์สินสมรสไปแล้วซื้อทรัพย์อื่นมาแทนทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทรัพย์ที่สามีหาได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกาฎีกาเฉพาะทรัพย์บางอย่างการคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อนแล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาจำเลยก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เกิดบุตร 6 คนโจทก์มีสินเดิมเงินสด 30 บาท จำเลยไม่มีอะไรเกิดสินสมรสคือที่บ้าน 1 แปลง เรือนพร้อมครัว 1 หลัง ยุ้ง 1 หลังราคาประมาณ 30,000 บาท และจักรยาน 1 คันราคา 400 บาท เกวียนพร้อมโค 1 คู่ราคา 2,800 บาท เงินสดฝากคนอื่นไว้ 20,000 บาทเมื่อ 8 ปีมานี้จำเลยบังอาจหมิ่นประมาทด่าบิดามารดาโจทก์ ทำร้ายโจทก์ ขับไล่โจทก์และบุตรออกจากบ้านไปอาศัยคนอื่นอยู่ แรก ๆ จำเลยยังส่งเสียให้การศึกษาบุตร ต่อมาเพิกเฉย และมีภรรยาใหม่ โจทก์จึงฟ้องขอหย่า แบ่งสินสมรสและให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตร ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
จำเลยให้การว่า โจทก์หนีไปอยู่ที่อื่น จึงถือว่าโจทก์หย่าขาดจากจำเลยโจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกันเพียง 5 คน โจทก์ไม่มีสินเดิมส่วนจำเลยมีสินเดิม ซึ่งที่บ้านเป็นสินเดิมด้วย ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันจำเลยปลูกเรือน 1 หลัง แต่ขายแล้ว ส่วนทรัพย์สินอื่นตามที่โจทก์อ้างไม่มี ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรมากเกินสมควร
นางยอดเรือนร้องสอดเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าเรือนพร้อมครัว 1 หลังยุ้ง 1 หลังเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสอด โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดกัน ที่บ้าน 1 แปลงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย ให้แบ่ง 3 ส่วน โจทก์ได้ 1 ส่วน จำเลยได้ 2 ส่วน เรือนและยุ้งจำเลยกับนางยอดเรือนถือกรรมสิทธิ์คนละครึ่งส่วนของจำเลยเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย ให้แบ่ง 3 ส่วน โจทก์ได้ 1 ส่วน จำเลยได้ 2 ส่วน การแบ่งไม่ตกลงให้ประมูลหรือขายทอดตลาดแบ่งเงินกัน ให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตร หากไม่ประสงค์เช่นนี้ให้โจทก์ปกครองและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 150 บาทจนกว่าบุตรบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทกันโจทก์แยกไปอยู่ที่อื่น ขณะนั้นเป็นเวลาที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับแล้วเหตุที่จะขาดจากสามีภรรยาจึงต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เมื่อโจทก์ร้างไปแล้ว จำเลยขายที่ดินสินสมรสแล้วนำเงินไปซื้อที่ดินพิพาทแทนมาที่ดินพิพาทก็ต้องเป็นสินสมรส ส่วนเรือนและยุ้ง จำเลยและนางยอดเรือนช่วยกันปลูก จึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาระหว่างโจทก์จำเลยร้างกันโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งเป็นสินสมรส และเรื่องค่าขึ้นศาลจำเลยจะพึงชำระต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี พิพากษาแก้ไม่ให้แบ่งส่วนสินสมรสจากเรือนและยุ้งให้โจทก์ และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยเสียเกินมา