คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับผู้มีชื่อร่วมกันเช่าห้องพิพาทจากเจ้าของเดิมเพื่อทำการค้า ต่อมาจำเลยที่ 2 รับโอนกิจการของผู้มีชื่อ เมื่อในสัญญา+ผู้มีชื่อและจำเลยที่ 1 เช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้าจำเลยที่ 2 ผู้+ข้าแทนที่ผู้มีชื่อจึงถือว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เช่าตึกพิพาทเพื่อการค้าขายด้วยซึ่งจะมีความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกและที่ดินพิพาทได้รับซื้อจากเจ้าของเดิมขอให้ศาลขับไล่จำเลยทั้งสอง กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี และค่าเสียหายเทียบค่าเช่าเดือนละ ๖๐ บาท จนกว่าจำเลยจะส่งมอบห้าง
จำเลยให้การต่อสู้ว่าเช่าอยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ และต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากห้องพิพาทและให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๖๐ บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาแต่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับฎีกาเฉพาะข้อ ก.ม.
จำเลยที่ ๒ ฎีกา ศาลแพ่งสั่งให้รับฎีกาและกำหนดให้ส่งสำเนาให้โจทก์ใน ๑๐ วัน แต่จำเลยที่ ๒ มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอขยายเวลาอีก ๓ วัน ศาลฎีกาไม่อนุญาต เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์จึงให้จำหน่ายคดีฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๒
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ว่าอาชีพตัดผมไม่ใช่การค้า ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการค้าเพราะเหตุว่าจำเลยได้ใช้ที่พิพาทเป็นร้านรับจ้างตัดผม จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของร้านเช้ามาเย็นกลับบ้าน เป็นการตั้งร้านเพื่อรับจ้างตัดผม ผิดกับตัวผู้รับจ้างตัดผมเอง ซึ่งเป็นผู้ขายแรงงาน
ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า ศาลฎีกาควรแยกวินิจฉัยการเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เช่าเดิมกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เช่าใหม่นั้น เบื้องต้นศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า น.ส.วารุณ กับจำเลยที่ ๑ ร่วมกันเช่าห้องพิพาทจากเจ้าของเดิมเพื่อทำการค้าซึ่งหมายความว่าสองคนเปรียบเหมือนคนคนเดียวกันทำสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิม จำเลยที่๒ เป็นผู้รับโอนกิจการของ น.ส.วารุณ จำเลยที่ ๒ จึงเป็นผู้แทนที่ น.ส.วารุณผู้ซึ่งต้องออกไปจากการเช่า น.ส.วารุณมีสิทธิอย่างไร จำเลยที่ ๒ ก็มีสิทธิเช่นนั้น สิทธิของจำเลยที่ ๑ คงที่ เมื่อในสัญญาว่า น.ส.วารุณ และจำเลยที่ ๑เช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้า ด้วยเหตุผลที่จำเลยที่ ๒ แทนที่ น.ส.วารุณ จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ + จึงคงมีสัญญาเช่ากับโจทก์เหมือนดั่ง น.ส.วารุณและจำเลยที่ ๑ เช่ากับโจทก์ และการเช่านี้ก็เช่าเพื่อการค้า ฉนั้นจำเลยที่ ๑ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้นให้ยก พิพากษายืน

Share