คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายในเคหสถาน การบุกรุกเป็นกรรมเดียวและวาระเดียวกันกับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องการกระทำผิดกฎหมายหลายบท เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายไปแล้ว โจทก์จะกลับมาฟ้องจำเลยฐานบุกรุกอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
ความผิดกรรมเดียวที่ผิดกฎหมายหลายบท บางบทขึ้นศาลทหาร บางบทขึ้นศาลพลเรือน ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ศาลวางโทษจำเลยในบทที่หนัก ก็ชอบที่โจทก์จะได้ฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในบทที่หนัก ถ้าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลทหาร ๆ พิพากษาในบทที่หนัก ถ้าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลทหาร ๆ พิพากษาลงโทษจำเลยในบทที่ขึ้นศาลทหารไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนในความผิดที่ขึ้นศาลพบเรือนอีกไม่ได้ แม้ความผิดหลังนี้จะมีโทษหนักกว่าก็ตาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของนางเบ่สีโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วใช้มือเท้าชกต่อยเตะถีบทำร้ายร่างกายนางเบ่สีจนได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๒,๓๖๓,๓๖๔,๓๖๕ และขอให้นังโทษต่อจากคดีดำที่ ๒๐๑๒/๒๕๐๓ ของศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลอาญา)
จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีดำที่ ๒๐๑๒/๒๕๐๓ ของศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลอาญา)
ศาลชั้นต้นสืบพยานเสร็จแล้วสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ตามฟ้องโจทก์นั้น เฉพาะตอนที่ว่าทำร้ายนางเบ่สีนั้น อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ได้แยกฟ้องเป็นคดีดำที่ ๒๐๑๒/๒๕๐๓ ของศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลอาญา)ซึ่งได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วตามคดีอาญาแดงที่ ๓๖๒๖/๒๕๐๓ โจทก์จึงได้แยกฟ้องจำเลยฐานบุกรุกโดยใช้กำลังกายประทุษร้ายเป็นคดีอีกคดีหนึ่ง เพราะโจทก์ถือว่าจำเลยทำผิด ๒ ฐาน จำเลยแถลงว่าเป็นจริงดังที่โจทก์แถลง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๔ ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๖๕ ข้อ ๑ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวแต่ผิดหลายบทศาลทหารกรุงเทพฯ พิพากษาลงโทษจำเลยในบทหนักไปแล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยซ้ำอีกในกรรมเดียวกันไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นหลายกรรมต่างกันและเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ อันเป็นบทหนัก และไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยเข้าไปทำร้ายร่างกายในเคหสถานของเขาเช่นนี้การบุกรุกก็เป็นกรรมเดียวและวาระเดียวกันกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั่นเอง แต่เป็นเรื่องกระทำผิดกฎหมายหลายบท ในคดีทำร้ายร่างกายนั้น ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้ว โจทก์จะกลับมาฟ้องอีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙ ข้อ ๔ (อ้างฎีกาที่ ๑๖๘/๒๔๘๙) อนึ่ง ความผิดที่ต้องด้วยกฎหมายหลายบทเช่นนี้ ถ้าอยู่ในอำนาจศาลต่างกัน เช่น บางบทอยู่ในอำนาจศาลทหารและบางบทอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ศาลวางโทษจำเลยในบทที่หนัก ก็ชอบที่โจทก์จะได้ฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในบทที่หนัก แต่เมื่อโจทก์เลือกฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาที่เบาจนศาลพิพากษาเสร็จไปแล้ว ดังนี้ ก็ย่อมได้ชื่อว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้ว (อ้างฎีกาที่ ๙๓๗/๒๔๘๗) พิพากษายืน.

Share