คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการค้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่การติดต่อซื้อขายไม้รายพิพาทโจทก์เคยติดต่อกับจำเลยที่ 1 ที่บ้านเลขที่ 195 ถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร ถือได้ว่าบ้านเลขที่ 195 ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 อีกแห่งหนึ่งในการติดต่อค้าขายกับโจทก์ในกรุงเทพมหานคร และในกรณีเช่นนี้แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร โจทก์ก็ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2) และมาตรา 5 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่ง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินค่าซื้อขายไม้ โดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ อยู่บ้านเลขที่ ๑๙๕ ถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๒ อยู่บ้านเลขที่ ๑๕๑ ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลแพ่งสั่งรับฟ้อง เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ณ บ้านเลขที่ ๑๙๕ ดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ โจทก์จึงขอแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๕๕๕ ถนนเกษมนอก ฯ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลแพ่งอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประเด็น รวมทั้งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่ง และยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเขตอำนาจศาล โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าจำเลยที่ ๑ ได้เปิดดำเนินกิจการค้าอยู่ ณ บ้านเลขที่ ๑๙๕ ถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร ด้วย และโจทก์เคยติดต่อกับจำเลย ณ บ้านเลขที่ดังกล่าว ต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งให้งดการพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นอีกคดีหนึ่งโดยระบุว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์รู้แจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่โจทก์บิดเบือนฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร ไม่ชอบที่ศาลแพ่งจะรับฟ้องไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ประกอบการค้าตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดวังสุวรรณ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ในการติดต่อซื้อขายไม้รายพิพาท โจทก์เคยติดต่อกับจำเลยที่ ๑ ที่บ้านเลขที่ ๑๙๕ ถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร และที่หน้าบ้านก็เขียนป้ายไว้ว่าห้างวังสุวรรณ ดังนี้ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์อ้าง ก็ถือได้ว่าบ้านเลขที่ ๑๙๕ ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ อีกแห่งหนึ่งในการติดต่อค้าขายกับโจทก์ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งในกรณีเช่นนี้แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร โจทก์ก็ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔ (๒) และ มาตรา ๕ วรรคสอง จึงสมควรที่จะได้มีการสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงในปัญหานี้ต่อไปให้แจ้งชัดก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share