คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยในคดียกข้อต่อสู้พิพาทต่อโจทก์นั้นย่อมถือได้ว่าได้เข้ามามีฐานะเป็นจำเลยตามที่ตนขอ ต่อมาเมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นบังคับคดี จะมาอ้างข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ไม่ได้ เพราะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ เพื่อลบล้างข้อเท็จจริงในคดีที่ถึงที่สุดแล้ว
ในกรณีดังกล่าวแล้ว เมื่อโจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมขอให้ศาลออกคำบังคับเอาแก่ผู้ร้องสอดที่เข้ามาเป็นจำเลยนั้นในประเด็นที่ได้ยกขึ้นพิพาทกับโจทก์ได้ (แม้โจทก์จะมิได้ขอเพิ่มเติมให้บังคับเอาแก่ผู้ร้องสอดหลังจากที่ได้มีการร้องสอดเข้ามาแล้วก็ตาม)
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลย ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่นั้น โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง คดีถึงที่สุดว่าจำเลยต้องคืนที่ให้แก่โจทก์ ศาลย่อมออกคำบังคับผู้ร้องสอดไม่ให้มาเกี่ยวข้องขัดขวางการได้คืนที่ดินของโจทก์ได้

ย่อยาว

คดีนี้พิพาทกันชั้นบังคับคดี เดิมโจทก์ฟ้องกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยเรียกคืนที่ดินที่ถูกเวนคืน กระทรวงมหาดไทยตัดฟ้องว่าโฉนดที่ดินรายนี้โจทก์โอนไปแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นางไพโรจน์ได้ยื่นคำร้องเข้ามาว่าที่รายพิพาทเป็นของผู้ร้อง ขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเอาที่ดินของผู้ร้องมาฟ้องร้องว่ากล่าวได้
คดีขึ้นสู่ศาลฎีกา ๒ ครั้ง ในที่สุดศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ดินที่พิพาทส่วนที่ถูกเวนคืนนั้นเป็นของโจทก์ให้จำเลยคืนที่ดินให้โจทก์
ต่อมาปรากฎว่านางไพโรจน์ไม่ยอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๒๑๙๘ ให้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงออกคำบังคับให้นางไพโรจน์ปฏิบัติตามคำพิพากษา คืนที่ให้โจทก์
นางไพโรจน์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่านางไพโรจน์ไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีอะไรที่จะคืน คำพิพากษาที่ว่า ให้จำเลยคืนที่พิพาทจึงย่อมหมายถึงกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น พิพากษากลับว่านางไพโรจน์ไม่มีหน้าที่ต้องคืนที่พิพาทตามคำพิพากษา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้นางไพโรจน์ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม นับว่านางไพโรจน์ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยแล้วในฐานะจำเลยตามคำขอ ประเด็นที่นางไพโรจน์ยกขึ้นพิพาทก็ได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลไปเสร็จเด็ดขาดแล้ว นางไพโรจน์ไม่เคยยกข้อพิพาทว่าตนได้ครอบครองที่พิพาทอยู่แต่อย่างใดเลยข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่านางไพโรจน์ยังไม่ได้เข้ายึดถือครอบครองที่พิพาท และศาลก็ได้พิพากษาไว้แล้วว่าที่พิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลอยู่จนกว่าจะคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับคืน การที่นางไพโรจน์กลับมาอ้างกรรมสิทธิ์ โดยอายุความจึงเป็นการอ้างข้อเท็จจริงใหม่ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การบังคับคดีให้ส่งที่ดินคืนจึงไม่เกี่ยวกับนางไพโรจน์จำเลย แต่อย่างไรก็ดีนางไพโรจน์ได้เข้ามาเป็นจำเลย เป็นคู่ความในคดีนี้แล้วในประเด็นว่าใครจะมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่า ซึ่งศาลก็ได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์มีสิทธิดีกว่านางไพโรจน์จำเลย หน้าที่ของนางไพโรจน์จำเลยที่จะต้องปฏิบัติก็คือ การงดเว้นการกระทำใด ๆ อันจะเป็นการขัดขวางมิให้โจทก์ได้รับคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบัดนี้ปรากฎว่านางไพโรจน์ฝ่าฝืนคำบังคับโดยเข้าไปครอบครองอ้างกรรมสิทธิ์ที่พิพาทอีก จึงพิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับใหม่ห้ามนางไพโรจน์จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้นางไพโรจน์จำเลยงดเว้นการกระทำใด ๆ ในอันที่จะขัดขวางไม่ให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทคืน และถ้ามีทรัพย์สินใดซึ่งมิใช่ส่วนควบของที่ดินซึ่งนางไพโรจน์นำเข้าไปไว้หรือมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ก็ให้นางไพโรจน์จำเลยรื้อถอนไปใน ๑ เดือน

Share