คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

รถยนต์ของโจทก์และจำเลยชนกันขณะที่แล่นสวนทางกันในที่เกิดเหตุปรากฏว่าหัวรถยนต์ทั้งสองคันอยู่กลางถนนส่วนท้ายของรถยนต์สองคันปัดไปอยู่ริมถนนทางซ้ายมือของแต่ละคันแสดงว่าความแรงที่ชนกันทำให้รถยนต์ทั้งสองคันเคลื่อนที่ไปไม่ได้อยู่คงที่สภาพของถนนเป็นที่ดินลูกรังมีฝุ่นฟุ้งตลบเมื่อรถยนต์วิ่งสวนทางกันจนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางแคบมีช่องทางเดินรถอยู่สองช่องใช้แล่นสวนทางกันรถยนต์ทั้งสองคันแล่นสวนทางกันด้วยความเร็วไม่ได้ชะลอความเร็วลงจึงเป็นความประมาทเลินเล่อของรถยนต์ทั้งสองฝ่ายซึ่งมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากันความรับผิดในค่าเสียหายจึงเป็นพับกันไปทั้งสองฝ่าย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2520 เวลา กลางวัน จำเลย ที่2 ซึ่ง เป็น ลูกจ้าง ของ จำเลย ที่ 1 ได้ ขับ รถยนต์ บรรทุก หมายเลขทะเบียน อ.บ. 06661 บรรทุก ข้าวเปือก แล่น ไป ถึง ระหว่าง หมู่บ้านโปร่งเย็น และ หมู่บ้าน นาเพียง ตำบล จุมพล อำเภอ โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ถนน ตอนนั้น เป็น ถนน หินลูกรัง มี ฝุ่น หนา และ ถนน แคบจำเลย ที่ 2 ได้ ขับ รถยนต์ คัน ดังกล่าว ตาม หลัง รถยนต์ ที่ แล่น ไปข้างหน้า ด้วย ความเร็ว และ ขับ กินทาง เข้า ไป ทาง ด้าน ขวามือ ไม่ ให้สัญญาณ ใดๆ ด้วย ความ ประมาท ปราศจาก ความ ระมัดระวัง ของ จำเลย ที่2 เป็น เหตุ ให้ รถยนต์ บรรทุก ที่ จำเลย ที่ 2 ขับ พุ่ง เข้า ชนรถ บรรทุก ขนาด 6 ล้อ หมายเลข ทะเบียน ก.ท.พ.-5608 ของ โจทก์ ซึ่ง มีนาย สมนึก บรรณบดี เป็น ผู้ขับ รถยนต์ ของ โจทก์ เสียหาย ทั้ง คันจน ไม่ สามารถ จะ ซ่อมแซม ได้ คิด เป็น ค่าเสียหาย 80,544 บาท จำเลยที่ 2 ได้ ขับ รถยนต์ ดังกล่าว ใน ทางการ ที่จ้าง ของ จำเลย ที่ 1จำเลย ที่ 1 ต้อง ร่วม รับผิด กับ จำเลย ที่ 2 ใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ ขอ ให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน รับผิด ใช้ ค่าเสียหาย แก่โจทก์ เป็น เงิน 80,544 บาท พร้อม ดอกเบี้ย นับ ถึง วัน ฟ้อง เป็น เงิน6,041 บาท
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า จำเลย ที่ 2 ไม่ ใช่ ลูกจ้าง ของ จำเลย ที่ 1จำเลย ที่ 1ไม่ ใช่ เจ้าของ รถยนต์ หมายเลข ทะเบียน อ.บ. 06661 แต่ เป็น ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาค อิสาน อุบล (ตังปัก) ซึ่ง จำเลย ที่ 1 เช่าซื้อมา จำเลย ที่ 1 ได้ นำ ไป ประกันภัย ไว้ กับ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด จำเลย ที่ 1 ไม่ มี ส่วน เกี่ยวข้อง รับผิด กับ จำเลย ที่ 2หาก จำเลย ที่ 1 ต้อง รับผิด ใน ฐานะ ผู้ เช่าซื้อ ก็ เป็น หน้าที่ของ บริษัท สินมั่นคง ประกันภัย จำกัด จะ ต้อง รับผิด ต่อ บุคคลภายนอก ใน ฐานะ การ รับประกันภัย ค้ำจุน ขอ ให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่น คำให้การ และ ขาดนัด พิจารณา
ศาลชั้นต้น ได้ ออก หมาย เรียก บริษัท สินมั่นคง ประกันภัย จำกัดเข้า มา เป็น จำเลยร่วม
จำเลยร่วม ให้การ ปฏิเสธ และ ขอ ให้ ศาล พิพากษา ยกฟ้อง โจทก์
ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ว่า จำเลย ที่ 1 เป็น ลูกจ้าง ของ จำเลย ที่ 2เหตุ ที่ รถ ทั้ง สอง คัน ชน กัน เพราะ นาย สมนึก ได้ ขับ รถยนต์ ของโจทก์ แล่น กินทาง เข้า ไป ใน ช่องทาง เดินรถ ของ จำเลย ที่ 2 รถยนต์ของ โจทก์ จึง เป็น ฝ่าย ประมาท เลินเล่อ จำเลย ไม่ ต้อง รับผิด ต่อโจทก์ พิพากษา ยกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ‘ได้ พิเคราะห์ คำพยาน ของ ฝ่าย โจทก์ และ ฝ่ายจำเลยและ คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก วิชิต นภามาศ พยาน โจทก์ ซึ่ง ได้ รับแจ้ง เหตุ รถยนต์ ชนกัน และ มี คน ตาย ร้อยตำรวจเอก วิชิต ได้ ไป ดูที่ เกิดเหตุ พบ รถยนต์ สอง คัน ชน กัน ใน ลักษณะ หัวรถยนต์ จ่อ กันกลางถนน ท้ายรถ แต่ละ คัน เบน ไป ทาง ซ้าย ของ ถนน ตอน ไป ดู ที่เกิดเหตุ ร้อยตำรวจเอก วิชิต มอง ไม่ เห็น จุด ที่ รถยนต์ ทั้ง สองคัน ชนกัน เพราะ คน มุงดู มาก เห็นว่า จาก คำพยาน ของ โจทก์ ก็ ดีของ ฝ่าย จำเลย ก็ ดี และ คำ เบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก วิชิต ก็ ดียัง ฟัง ข้อเท็จจริง ไม่ ได้ แน่นอน ว่า ขณะ ที่ รถยนต์ ทั้ง สอง คันชนกัน นั้น ชนกัน อย่างไร จุด ที่ ชน อยู่ ตรงไหน ไม่ มี ใคร ทราบ จะอย่างไร ก็ ตาม ใน ขณะ ที่ รถยนต์ ทั้ง สอง ชนกัน หัว รถยนต์ สอง คันอยู่ กลางถนน และ ส่วน ท้าย รถยนต์ สอง คัน ไป อยู่ ริม ถนน ด้าน ทางซ้ายมือ ของ แต่ ละ คัน ทำ ให้ เห็น ว่า ความแรง ที่ ชนกัน ทำ ให้รถยนต์ ทั้ง สอง คัน เคลื่อน ที่ ไป ไม่ ได้ อยู่ คงที่ สภาพ ของ ถนนเป็น ดิน ลูกรัง มี ฝุ่น ฟุ้ง ตลบ เมื่อ รถยนต์ วิ่ง สวนทาง กัน จนไม่ สามารถ มองเห็น ทาง ข้างหน้า ได้ ชัดเจน และ จาก สภาพ ความ เสียหายที่ รถยนต์ ทั้ง สอง ได้ รับ แสดง ให้ เห็น ว่า รถยนต์ ทั้ง สอง คันขับแล่น มา เร็วมาก ทั้งๆ ที่ ทาง ข้างหน้า มี ฝุ่น จน มอง ไม่ เห็นถนน ตรง ที่ เกิด เหตุ เป็น ทาง แคบ กว้าง เพียง 5.50 เมตร มี ช่องทางเดินรถ อยู่ สอง ช่อง ใช้ แล่น สวนทาง กัน กว้าง ช่องละ ประมาณ2.75 เมตร หาก รถยนต์ ทั้ง สอง คัน จอด เรียง กัน บน ถนน แล้ว จะ เหลือความ ห่าง กัน เพียง 60 เซนติเมตร เท่านั้น และ ทั้ง สอง ฝ่าย ก็นำสืบ ถึง จุด ชน ที่ แน่นอน ไม่ ได้ ดังนี้ จึง เห็น ว่า รูปเรื่องคง เป็น ว่า รถยนต์ ทั้ง สอง คัน แล่น สวนทาง กัน ด้วย ความเร็วไม่ ชะลอ ความ เร็ว ของ รถยนต์ ทั้ง สอง ฝ่าย ให้ ช้า ลง เลย ประกอบกับ มี ฝุ่น ตลบ มอง ไม่ เห็น ทาง ข้างหน้า ดังกล่าว ข้าง ต้น รถยนต์ทั้ง สอง ฝ่าย จึง คง ต่าง ขับ แล่น กินทาง ซึ่งกัน และกัน จึง ได้เกิด ชนกัน ขึ้น จึง เป็น ความ ประมาท เลิ่นเล่อ ของ รถยนต์ ทั้ง สองฝ่าย หา ใช่ ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ไม่ และ ความ ประมาท เลินเล่อ ของ ทั้งสอง ฝ่าย มิได้ ยิ่งหย่อน กว่ากัน เพราะ รถยนต์ ของ โจทก์ เป็น รถยนต์เก่า ที่ ใช้ งาน มา นาน ส่วน รถยนต์ ของ จำเลย ที่ 1 เป็น รถยนต์ที่ อยู่ ใน สภาพ ค่อนข้าง ใหม่ เพราะ เพิ่ง เช่าซื้อ มา พ.ศ. 2517จึง เห็นควร ให้ ค่าเสียหาย เป็น พับ กัน ไป ทั้ง สอง ฝ่าย ฎีกา ของโจทก์ ฟัง ไม่ ขึ้น’
พิพากษา ยืน

Share