แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
น้องชายเจ้าทรัพย์นำโคกระบือของเจ้าทรัพย์ไปเลี้ยง และมีคนอื่นหลายคนเลี้ยงโคกระบืออยู่ที่นั่นด้วย จำเลยกับพวก รวม 8 คนมาทักทายคนเลี้ยงโคกระบือ แล้วจำเลยกับพวกจูงโคของเจ้าทรัพย์ไป 1 ตัวและยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด โดยไม่ได้หันมามองดูน้องชายเจ้าทรัพย์ซึ่งอยู่ห่างราว 10 วา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนายิงปืนขู่เข็ญพวกคนเลี้ยง โคกระบือซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๖ คนปล้นเอาโค ๑ ตัวของเจ้าทรัพย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของนายพลอยไป โดยจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงขู่เข็ญนายพลอย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๔๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖, ๘๓ ให้ลงโทษจำคุกคนละ ๓ ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๗) กำหนดโทษจำคุกคนละ ๓ ปี ลดโทษให้จำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลง ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี
มีความเห็นแย้ง รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยควรมีความผิดฐานปล้นทรัพย์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายพลอยน้องชายเจ้าทรัพย์นำโคกระบือของเจ้าทรัพย์ไปเลี้ยงที่บริเวณลำห้วย มีคนอื่นอีกหลายคนเลี้ยงโคกระบืออยู่ที่นั่นด้วย จำเลยกับพวกรวม ๘ คน เข้ามาที่นายพลอยกับนายเสาร์พูดจากับนายเสาร์ ต่อมาเมื่อนายพลอยต้อนกระบือออกจากลำห้วยก็เห็นจำเลยกับพวกจับโคสีดำของเจ้าทรัพย์ได้ ๑ ตัวแล้วจูงโคนั้นไป นายพลอยเกิดความกลัว พอดีจำเลยกับพวกยิงปืนขึ้นฟ้า ๒ นัด โดยไม่ได้หันมามองดูทางนายพลอยซึ่งอยู่ห่างราว ๑๐ วา วินิจฉัยว่าคนร้ายได้มาพูดจาอยู่กับนายเสาร์ และเห็นนายพลอยอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่นายพลอยลงไปต้อนกระบือขึ้นมาจากห้วยตรงที่เห็น ๆ และรู้ ๆ กันอยู่แถวนั้นเองคนร้ายจะได้มองหรือแกล้งทำเป็นไม่มองนายพลอยแล้วยิงปืนขึ้นฟ้าเช่นนั้น ก็เป็นการที่เจตนาและคำนวณได้อยู่แล้วเพื่อเป็นการข่มขวัญขู่เข็ญพวกที่เห็น ๆ กันอยู่ในที่แถวนั้นทุกคนรวมทั้งเด็ก ๆ คนอื่นที่เลี้ยงโคกระบืออยู่แล้วนั้นด้วย ถือว่าการกระทำมีเจตนาขู่เข็ญและเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำร้ายไม่ให้ใครเข้ามาขัดขวาง เพื่อเป็นความสะดวกแก่การที่คนร้ายจะเอาโคไปนั่นเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คนร้ายทำโดยคึกคะนองหรือโกรธว่าโคดิ้นหลุดไปเสีย ๒ ตัวแต่อย่างไร การใช้ปืนยิงขู่เพื่อกรณีอย่างนี้ความผิดฐานลักทรัพย์ของคนร้ายนั้น จึงกลายเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙(๑) เมื่อเป็นการชิงทรัพย์ไปแล้ว ปรากฏว่าการกระทำของคนร้ายมีองค์ประกอบด้วยบุคคลผู้กระทำถึง ๘ คนและใช้ปืนยิง ความผิดนั้นก็ฉกรรจ์ขึ้นจนกลายเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔จำเลยทั้งสองผู้สมคบกันเป็นคนร้ายรายนั้น จึงต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ไปด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ แต่จำเลยทั้งสองอายุยังไม่เกิน ๒๐ ปี เห็นควรลดมาตราส่วนโทษลงเสีย ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ คงให้จำคุกคนละ ๑๓ ปี ๔ เดือนจำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ เป็นจำคุก ๘ ปี ๑๐ เดือน ๒๐ วัน