คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9861/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเสพเมถุนของจำเลยเป็นการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยจึงเป็นอาบัติปาราชิกถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว และเมื่อเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะอำเภอได้นำคำวินิจฉัยไปอ่านให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 17.20 นาฬิกา แม้จำเลยจะไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยทราบคำวินิจฉัยโดยชอบแล้วซึ่งต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น ตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 5, 15 ตรี, 20, 24, 26, 43
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 24, 26, 43 จำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาและได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีโพธิ์ทอง ตำบลคึมชาด อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 นางสำริตย์ ได้ร้องเรียนต่อคณะสงฆ์อำเภอหนองสองห้องว่านางสำริตย์และจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและจำเลยตกลงว่าจะรับเลี้ยงดูจึงขอให้คณะสงฆ์บอกให้สึกจากความเป็นพระภิกษุเพื่อมารับเลี้ยงดูตามที่ตกลงกัน เจ้าคณะอำเภอจึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์ตามคำสั่งเจ้าคณะอำเภอหนองสองห้อง เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์ ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 จำเลยและนางสำริตย์มาให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์ นางสำริตย์ให้การว่า ที่ให้การไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2553 และวันที่ 26 เมษายน 2553 นั้น ให้การไปด้วยความโมโหไม่เป็นความจริงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดพระธรรมวินัยโดยเสพเมถุนถึงขึ้นอาบัติปฐมปาราชิกตามรายงานผลการสอบสวนอธิกรณ์ ในวันเดียวกันเจ้าคณะอำเภอหนองสองห้องมีคำวินิจฉัยเห็นชอบด้วยกับคณะกรรมสอบสวนและมีคำวินิจฉัยว่า จำเลยประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยขั้นอาบัติปฐมปาราชิกต้องสึกให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยตามคำวินิจฉัย แต่จำเลยไม่ยอมสึก
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยสัจธรรม ความดีความงามของพุทธศาสนารวมทั้งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเพื่อทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง มิได้พิจารณาจากการกลับคำให้การของนางสำริตย์อันเป็นเท็จด้วยเจตนาช่วยเหลือจำเลยเพื่อระงับอธิกรณ์ โดยมีเหตุจูงใจให้จำเลยมาอยู่กินกับนางสำริตย์ฉันสามีภรรยา ดังนั้น จึงต้องยึดถือความจริงตามที่นางสำริตย์ให้การไว้แต่แรกในเรื่องจำเลยเสพเมถุนมารับฟังเป็นหลัก มิฉะนั้นจะถือได้ว่าการกลับคำให้การของนางสำริตย์เป็นการส่งเสริมให้จำเลยซึ่งเสพเมถุนดำรงอยู่ในพุทธศาสนาต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นการผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง การเสพเมถุนของจำเลยเป็นการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยจึงเป็นอาบัติปาราชิกถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว และเมื่อเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะอำเภอได้นำคำวินิจฉัยไปอ่านให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 17.20 นาฬิกา แม้จำเลยจะไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยทราบคำวินิจฉัยโดยชอบแล้วซึ่งต้องสึกภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เมื่อจำเลยฝ่าฝืนจำเลยจึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share