คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อกฎหมายที่ยกขึ้นฎีกา ต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
เงินที่จำเลยให้แก่เจ้าของตึกที่พิพาทเดิมตอนรับโอนสิทธิการเช่าหลังจากตึกที่พิพาทสร้างเสร็จแล้ว มีลักษณะเป็นเงินกินเปล่า หาใช่สัญญาต่างตอบแทนไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ซื้อที่ดินและตึกแถวที่พิพาทจากพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภัสสรวงศ์ ซึ่งจำเลยเช่าตึกที่พิพาททำการค้า สัญญาเช่าหมดอายุแล้วขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกที่พิพาทที่แท้จริง จำเลยเป็นผู้รับโอนสิทธิการเช่าจากผู้เช่าเดิมมีกำหนดเวลา 5 ปี โดยทำสัญญาครั้งละ 1 ปี ในการนี้จำเลยได้ให้เงินค่าตอบแทนแก่เจ้าของเดิมด้วย จำเลยใช้ตึกที่พิพาทมาแล้ว 2 ปี มีสิทธิใช้อีกประมาณ 3 ปี และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่ดินและตึกที่พิพาทจากตัวแทนของเจ้าของเดิมโดยสุจริตทำนิติกรรมจดทะเบียนถูกต้องแล้วจำเลยตกลงเช่าที่ดินและตึกที่พิพาทจากเจ้าของเดิมอย่างไร โจทก์ไม่ทราบ ไม่ผูกพันโจทก์

วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยกล่าวอ้างไม่มีหนังสือสัญญา

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็น

1. อำนาจฟ้อง

2. สัญญาเช่าที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นสัญญาต่างตอบแทนและผูกพันโจทก์หรือไม่

3. ค่าเสียหาย

สำหรับประเด็นข้อ 2 ศาลวินิจฉัยได้เอง ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยในข้อนี้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกที่พิพาทจากเจ้าของเดิมแล้ว เงินที่จำเลยให้แก่เจ้าของที่ดินและตึกที่พิพาทเดิมเป็นเงินกินเปล่า จึงไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์เป็นโมฆะ และสัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้กับเจ้าของเดิมเป็นสัญญาต่างตอบแทน ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าเป็นโมฆะเพราะเป็นวันก่อนหน้าที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทนั้น จำเลยไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่า การบอกเลิกสัญญาเช่านั้นไม่ชอบเพราะเหตุใด เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย

สัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้กับเจ้าของเดิม เป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ให้การไว้แล้วว่าจำเลยรับโอนสิทธิการเช่ามาอีกทอดหนึ่ง แสดงว่าตึกและที่พิพาทได้สร้างเสร็จแต่วันที่นายหนึ่ง แซ่จิว เช่าแล้ว เงินที่จำเลยชำระให้ภายหลังแก่เจ้าของเดิมจึงมิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้าง มีลักษณะเป็นเงินกินเปล่าเท่านั้น จึงหาใช่สัญญาต่างตอบแทนไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 643/2507 คดีระหว่างนายเชื้อชาย รังสิมันต์ โจทก์ นางบุ้นฮั้ว แซ่เฮง จำเลย ไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ศาลล่างสั่งงดสืบพยานจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นเดียวกัน

ศาลล่างพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและยกฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว

จึงพิพากษายืน

Share