แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีความผิดอันยอมความได้ ปรากฏจากคำให้การชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจที่จำเลยอ้างเป็นพยานว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำโจทก์ไปพบจำเลยและต่างได้พูดจากกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน ในชั้นพิจารณาโจทก์แถลงต่อศาลว่า ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะต้องไม่คุกคามพระในวัดต่อไป แต่หลังจากนั้นได้มีการรุกรานอีกเป็นการผิดข้อตกลง ดังนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ตั้งแต่วันที่ยอมความกัน
ในการยอมความที่มีเงื่อนไข หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โจทก์จะต้องดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีใหม่ แต่หามีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีกไม่ เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ โดยจำเลยที่ ๕ เรียกโจทก์ให้ไปพบจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๔ เรียกโจทก์ให้ไปพบจำเลยที่ ๑ และพูดขู่ว่าถ้าไม่ไปจะเจ็บตัว โจทก์จึงจำต้องยอมไปพบจำเลยที่ ๑ ที่วัดผ่องพลอยวิริยาราม แล้วจำเลยที่ ๑ ข่มขืนใจโจทก์ให้ขึ้นรถยนต์ไปวัดธรรมมงคล ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าอาวาส โดยมีจำเลยทั้งห้าควบคุมโจทก์ไป และจำเลยที่ ๑ ได้สั่งให้จำเลยที่ ๓ เอาโซ่ล่ามโจทก์ไว้ที่วัดธรรมมงคลทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดธรรมมงคลและวัดผ่องพลอยวิริยาราม และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้ความอนุเคราะห์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยแก่โจกท์ และละเว้นการช่วยทุกข์บำรุงสุขซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสตามพระธรรมวินัยโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๘๔,๙๑,๓๐๙,๓๑๐,๑๕๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องเฉพาะข้อกล่าวหาจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ นอกนั้นให้ยก ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ ๒ ปากแล้วศาลสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้การชั้นสอบสวนในสำนวนการสอบสวนที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ อ้างเป็นพยาน โจทก์แถลงว่าตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีนี้มีเงื่อนไขอยู่ คือ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลและวัดผ่องพลอยวิริยาราม (จำเลยที่ ๑ ที่ ๔) จะต้องไม่คุกคามพระในวัดผ่องพลอยวิริยารามต่อไป แต่ปรากฏว่าหลังจากตกลงแล้วได้มีพระจากวัดธรรมมงคลมารุกรานอีก ดังที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน โจทก์เห็นว่าฝ่ายจำเลยผิดข้อตกลงจึงดำเนินคดีนี้
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ วรรค ๑ เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อโจทก์และจำเลยต่างตกลงยุติข้อพิพาทต่อกันแล้ว แม้ต่อมาจะปรากฏว่าจำเลยผิดเงื่อนไขมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติลงแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่พอวินิจฉัย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องการยอมความปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวนของพันตำรวจโทธนู หอมหวน ในสำนวนการสอบสวนว่า พันตำรวจโทธนูกับพวกนำโจทก์กับพวกไปพบจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่วัดธรรมมงคล โจทก์และจำเลยต่างพูดจากันจนเป็นที่พอใจแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความต่อกัน คำให้การดังกล่าวรวมอยู่ในสำนวนการสอบสวนที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ อ้างเป็นพยาน เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ก็แถลงว่า ตามข้อตกลงที่จะเลิกคดีมีเงื่อนไขอยู่คือ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลและวัดผ่อนพลอยวิริยารามจะต้องไม่คุกคามพระในวัดผ่องพลอยวิริยารามต่อไป แต่หลังจากตกลงแล้วได้มีพระจากวัดธรรมมงคลมารุกรานอีก ฝ่ายจำเลยผิดข้อตกลงจึงดำเนินคดีนี้ จากคำแถลงดังกล่าวแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ต่างตกลงยอมความกันโดยตรงเลิกคดีกันแล้ว สิทธิการนำคดีมาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) ตั้งแต่วันที่ยอมความกันแม้จะฟังว่าในการยอมความจะมีเงื่อนไขและจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่โจทก์แถลง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่พระวัดธรรมมงคลมารุกรานโจทก์เป็นคดีใหม่ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่จำเลยทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายซึ่งยุติแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้ว
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์