แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 1 ควรจะรู้ว่าการที่จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินมาจากโจทก์และการจดทะเบียนจำนองของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ต่อมาเป็นเรื่องที่ไม่สุจริต อันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 3 ถือว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงด้วย ศาลย่อมพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาจำนองรายนี้เสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5415ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี เดิมโจทก์มีความประสงค์จะจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวในจำนวนเงิน250,000 บาท นางยุพิน ขำคง ซึ่งเคยรู้จักชอบพอกับโจทก์มานานแล้วได้แนะนำให้รู้จักกับนายสำเภา นายสำเภาได้แนะนำโจทก์ให้รู้จักกับจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างว่าทำงานธนาคารและจำเลยที่ 1 ได้รับจะจัดการเรื่องการกู้เงินและจำนองที่ดินต่อธนาคารตามความประสงค์ของโจทก์ดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 1ได้มาพบโจทก์ที่บ้านของโจทก์ โดยนำแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจ เพื่อมอบให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการยื่นเรื่องการขอกู้เงินและจำนองที่ดินต่อธนาคาร ในขณะที่โจทก์ลงลายมือชื่อดังกล่าวแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจนั้นยังไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ เพราะจำเลยที่ 1 อ้างว่าจะต้องให้เจ้าหน้าที่ธนาคารกรอกให้ โจทก์หลงเชื่อจึงได้ลงลายมือชื่อให้ไปและจำเลยที่ 1 ยังให้โจทก์ลงลายมือชื่อในกระดาษอื่น ๆ อีกรวม3 ฉบับ ซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความอีกด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 9พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 1 ได้มาขอยืมโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ไปเพื่อนำไปให้ทางธนาคารตรวจ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบให้จำเลยที่ 1 รับไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 1ได้นำแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเดิมนั้นไปให้โจทก์ลงลายมือชื่อให้ตรงตามโฉนดที่ดินอีกครั้ง และให้โจทก์ถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่จำเลยด้วยและในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 1 ก็ให้นายสุวรรณ นาคกัณฑ์หรือนาคกัน สามีโจทก์ถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนของสามีโจทก์ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อเพื่อแสดงว่านายสุวรรณยินยอมอนุญาตให้โจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารได้ ให้แก่จำเลยที่ 1 ไปด้วย ต่อมาประมาณเดือนเศษ โจทก์ได้ทราบจากนายเสน่ห์ ขำคง บุตรของนางยุพิน ขำคง ว่าทางธนาคารได้พิจารณาเรื่องแล้วจะให้โจทก์กู้ได้เพียง 120,000 บาทเท่านั้น โจทก์จึงต้องการเลิกกู้และได้ออกติดตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อขอรับโฉนดที่ดินและเอกสารอื่น ๆ คืน แต่ไม่พบ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2524โจทก์ได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีแจ้งให้ทราบว่าตามที่โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดิน ผู้รับมอบอำนาจได้ขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ในราคา 300,000 บาท เสร็จแล้ว โจทก์จึงไปขอตรวจหลักฐานทางทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี จึงทราบว่าจำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจ โดยกรอกข้อความเป็นเรื่องขายที่ดินโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจในราคา 300,000 บาท และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยาน ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมจดทะเบียนที่ดินของจำเลยที่ 1 นั้นเอง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกัน โดยจำเลยที่ 2ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 รับจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินจำนวน 300,000 บาท ต่อกันไว้ด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาจำนองต่อจำเลยที่ 2 ได้ ทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ก็ได้ร่วมรู้เห็นและกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในวิธีการได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบของจำเลยที่ 1 ด้วยหนังสือสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3เป็นผู้รับมอบอำนาจ ผู้รับจำนอง จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาให้หนังสือมอบอำนาจขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5415 ตำบลขุนกองอำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2524 ตลอดจนหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม2524 เป็นโมฆะ ให้หนังสือสัญญาจำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ผู้รับมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 เป็นโมฆะ ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี ทำลายการจดทะเบียนขายและจำนองดังกล่าว แล้วลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยปลอดจากภาระใด ๆ ตามเดิม หากทำลายไม่ได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ราคาดังกล่าว 1,000,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การว่าก่อนหน้าที่โจทก์จะได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะได้มีข้อสัญญาอะไรกันไว้เกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบมาก่อน จำเลยที่ 1 จะได้นำหนังสือแบบพิมพ์มอบอำนาจไปให้โจทก์ลงลายมือชื่อโดยยังไม่ได้กรอกข้อความใด ๆ หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ทราบและไม่รับรอง และหากการกระทำดังกล่าวเป็นความจริง การกระทำของโจทก์ก็เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 2ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 และเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2524จำเลยที่ 3 ก็ได้ไปตามนัดกับจำเลยที่ 1 คือไปพบกับจำเลยที่ 1ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี เพื่อดำเนินการจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับจำเลยที่ 2 แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่สามารถจดทะเบียนซื้อที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ได้เพราะเจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจพบว่าหนังสือมอบอำนาจซึ่งได้ลงลายมือชื่อนางทองหล่อ นาคกัน เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 นั้น ลายมือชื่อดังกล่าวของโจทก์ไม่เหมือนตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่มีเก็บไว้ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ 1 จึงได้นำหนังสือมอบอำนาจฉบับดังกล่าวไปพบโจทก์ที่บ้านโดยไปกับจำเลยที่ 3 โจทก์จึงได้ลงลายมือชื่อใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า นางทองหล่อ นาคกัณฑ์ และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ก็ได้กลับมายังสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีใหม่ในวันเดียวกันนั้นเอง ครั้งนี้เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ แล้วปรากฏว่าตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่เก็บไว้ที่สำนักงานที่ดินจึงได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะกู้จากจำเลยที่ 2 การที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์และสามีโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อแสดงว่าสามีโจทก์ได้อนุญาตให้โจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารได้ จึงไม่เป็นความจริงด้วย จำเลยที่ 2 ไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจไว้ และกรอกข้อความเป็นเรื่องซื้อขายกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่อย่างใดจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน300,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือได้และมีกำลังความสามารถพอที่จะชำระหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าวคืนตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกัน อีกทั้งจำเลยที่ 1จะได้นำหลักทรัพย์ที่ดินโฉนดดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 1 กำลังจะซื้อมาจากโจทก์ มาจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 เพื่อค้ำประกันเงินที่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะกู้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 300,000 บาท การกระทำทั้งหมดของจำเลยที่ 2จึงเป็นการกระทำโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า หนังสือมอบอำนาจขายที่ดินโฉนดที่ 5415 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย(บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ระหว่างโจทก์ผู้มอบอำนาจกับจำเลยที่ 1 ผู้รับมอบอำนาจตลอดจนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถทำได้ก็ให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดิน 1,000,000 บาทแก่โจทก์ ฟ้องของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5415ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรีระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสียนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ใช้หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความเพียงโจทก์ลงชื่อเป็นผู้มอบอำนาจไว้ลอย ๆ ให้นายมาโนช พวงอุไร เจ้าพนักงานที่ดินผู้มีหน้าที่ทำสัญญากรอกข้อความให้ และจำเลยที่ 3 ลงชื่อเป็นพยานแล้วจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีการชำระเงินให้โจทก์แล้วจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 300,000 บาทเท่ากับราคาที่จำเลยที่ 1 ซื้อ และฟังว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะควรจะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สุจริต ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยไม่สุจริต การจดทะเบียนจำนองจึงบังคับไม่ได้ จำเลยที่ 2 ไม่เห็นด้วย เพราะจำเลยที่ 2 เพียงมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยที่ 3 ดำเนินการแล้วเสร็จจำเลยที่ 2 ได้มอบเงิน 300,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ขอกู้ ให้แก่จำเลยที่ 1 ไป ซึ่งเป็นการกระทำทางการค้าโดยปกติของจำเลยที่ 2และการที่จำเลยที่ 1 แจ้งต่อเจ้าพนักงานผู้จดทะเบียนว่าซื้อขายกันราคา 300,000 บาท แม้จะต่ำกว่าราคาจริงก็ดี และการจดทะเบียนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีการชำระราคาทั้งสองประการนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เพื่อเลี่ยงภาษีและจำเลยที่ 2 ที่ 3เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์จนพอใจ ก่อนที่โจทก์จะมอบโฉนดที่ดิน ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจและเอกสารอื่น ๆ ให้แก่จำเลยที่ 1 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์เอง จำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยสุจริตการจดทะเบียนจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองศาลฟังต้องกันเป็นที่ยุติแล้วว่า จำเลยที่ 1ทุจริตกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยที่โจทก์ไม่มีเจตนาเช่นนั้น มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 กระทำแทนได้ไปจดทะเบียนรับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งควรจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สุจริตหรือไม่ประการแรกเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3คู่ความต่างนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไว้ในเอกสารดังกล่าว โดยไม่ได้กรอกข้อความไว้เลย คงมีปัญหาในการลงลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารดังกล่าวฉบับเดิมอีกเป็นครั้งที่สองในเรื่องนี้โจทก์และนายสุวรรณ นาคกัณฑ์ สามีโจทก์เบิกความสอดคล้องกันว่าเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 มาให้โจทก์ลงชื่อใหม่อีกชื่อหนึ่งทางด้านซ้ายอ้างว่า นามสกุลของโจทก์ที่เขียนไว้เดิมว่านาคกันไม่ตรงกับหน้าโฉนด โจทก์จึงเขียนลงไปใหม่ทางด้านซ้ายตามที่จำเลยที่ 1 บอกว่า นางทองหล่อ นาคกัณฑ์ และนายสมเกียรติภู่สังวาลย์ พยานโจทก์เบิกความรับรองว่าในวันดังกล่าว จำเลยที่ 1มาที่บ้านโจทก์ พยานไปตามโจทก์ที่วัดกลับบ้านแล้วพยานมากับโจทก์ถึงบ้าน จำเลยที่ 1 บอกว่าโจทก์ลงชื่อสกุลไม่ตรงกับหน้าโฉนดให้เขียนลงใหม่ แล้วจำเลยที่ 1 เปิดแฟ้มสีดำ โจทก์ก็ลงชื่อให้ใหม่พยานเบิกความสอดคล้องกับโจทก์เชื่อว่าได้เบิกความไปตามความจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 อีกครั้งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2524 แต่เรื่องเดียวกันนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม2524 จำเลยที่ 3 ไปตามนัดพบจำเลยที่ 1 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี เพื่อจดทะเบียนรับจำนองที่ดินแปลงพิพาทแทนให้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ไม่อาจจดทะเบียนซื้อที่ดินกับโจทก์ได้เพราะเจ้าพนักงานที่ดินตรวจพบว่าลายมือชื่อโจทก์ผู้มอบอำนาจไม่เหมือนตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่เก็บไว้ที่สำนักงานที่ดินจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจฉบับดังกล่าวไปพบโจทก์ที่บ้านโดยไปกับจำเลยที่ 3 และโจทก์ได้ลงลายมือชื่อใหม่ว่านางทองหล่อ นาคกัณฑ์ เสร็จแล้วก็กลับไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบแล้วตรงกับที่โจทก์ให้ไว้จึงรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 และได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 3 ไม่ได้เบิกความถึงเลยว่า จำเลยที่ 3 ได้ไปที่บ้านโจทก์ในวันดังกล่าวที่ให้การไว้แต่กลับเบิกความว่าไปกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 3 ลงจากรถแวะคุยที่ร้านตัดผมวรภัทรบาร์เบอร์ ไม่ได้ไปบ้านโจทก์ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ไม่มีพยานปากใดที่รู้เห็นเรื่องที่อ้างว่าโจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจในวันดังกล่าวมาเบิกความ และพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินหลายปากซึ่งรู้เห็นเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เอกสารหมาย จ.3 ก็ไม่มีคนใดเบิกความกล่าวถึงว่าในวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 ได้ตรวจพบลายมือชื่อโจทก์บกพร่องไม่ตรงตัวอย่างลายมือชื่อที่มีอยู่ที่สำนักงานที่ดินดังที่จำเลยอ้าง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3และคำเบิกความดังกล่าวของจำเลยที่ 3 รับฟังไม่ได้ และประการที่สองจำเลยที่ 3 เบิกความว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ยังไม่ได้กรอกข้อความ จำเลยที่ 1 ได้ให้นายมาโนชเจ้าพนักงานที่ดินพิมพ์กรอกข้อความโดยอ้างว่าเหตุที่ไม่ได้กรอกเพราะกลัวกรอกผิดนายมาโนชได้พิมพ์ข้อความตามที่จำเลยที่ 1 บอก และจำเลยที่ 3ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับรองข้อความและลายมือชื่อของโจทก์โดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้รู้เห็นขณะที่โจทก์ลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปเพื่อกระทำการใดแน่ และจำเลยที่ 3 ก็เบิกความว่าจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสินเชื่อของจำเลยที่ 2 มาหลายปีแล้ว มีหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ผู้ที่มาขอกู้ยืมเงิน ในแต่ละเดือนจำเลยที่ 3 ทำการปล่อยสินเชื่อ 70-80 ราย เป็นเงินประมาณ 60-70 ล้านบาท เห็นว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญมีความรอบรู้ความสามารถเกี่ยวกับการทำนิติกรรมที่ดินมาก และได้ความจากจำเลยที่ 3 ว่าที่ดินพิพาทมีราคาซื้อขายในท้องตลาดไร่ละ 100,000 บาท เนื้อที่6 ไร่เศษ จึงมีราคามากกว่า 600,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 3 รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 เองราคา 300,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาจริงมากซึ่งจำเลยที่ 3 ควรจะรู้หรือรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติไม่ธรรมดากล่าวคือ จำเลยที่ 3 เป็นผู้กระทำการประเมินและรายงานสินเชื่อของจำเลยที่ 1 เสนอต่อคณะกรรมการของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.4ลงในหัวข้อวัตถุประสงค์ในการกู้ว่า 1. เพื่อนำเงิน 120,000 บาทชำระเป็นค่าเซ้งร้านตัดผมวรภัทรบาร์เบอร์ 2. เงินที่เหลือ 180,000บาท ชำระค่าซื้อที่ดินแก่นางทองหล่อ นาคกัณฑ์ (โจทก์) ตามเอกสารดังกล่าวนี้จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เงินจากการจำนองที่ดินจำนวน 300,000 บาท เพื่อชำระค่าเซ้งร้านตัดผมไป120,000 บาท เงินที่เหลือจึงไม่พอชำระค่าที่ดินแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้ความข้อนี้ดังกล่าวข้างต้นอยู่ก่อนแล้วและยังรู้อีกว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระค่าที่ดินแก่โจทก์เลย เห็นว่า พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 3 ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นตลอดจนได้ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เอกสารหมาย จ.3 รู้เห็นการจดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทของโจทก์กับจำเลยที่ 1 และกระทำการจดทะเบียนรับจำนองที่ดินจากจำเลยที่ 1 แทนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยควรจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สุจริต ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการให้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน