แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 339, 340 ตรี, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานชิงทรัพย์ จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมแล้วจำคุก 15 ปี 14 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย 2 คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นจี้นางสาวอมรรัตน์ ผู้เสียหาย แล้วร่วมกันชิงรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน มมม กท 529 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยในแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์นั้น โจทก์มีนางสาวอมรรัตน์ ผู้เสียหาย มาเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา พยานขับรถจักร-ยานยนต์ออกจากโรงแรมพิมานมาจอดติดไฟแดงที่สี่แยกเอราวัณ ซึ่งมีรถจักรยานยนต์อีกคันจอดติดไฟแดงอยู่ด้วยโดยมีผู้ชายซึ่งเป็นคนขับสวมหมวกนิรภัย จำเลยนั่งซ้อนท้ายใช้เสื้อลายพรางทหารคาดที่บริเวณศีรษะ เมื่อได้สัญญาณไฟเขียว พยานขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบริเวณบ้านโนนหัวช้าง รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวขับตามมาประกบรถผู้เสียหายนานประมาณ 3 นาที จำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวมาจี้เอวผู้เสียหายแล้วจำเลยใช้มืออีกข้างเข้ามาดึงกุญแจรถที่ผู้เสียหายขับทำให้เครื่องยนต์ดับทันทีแต่รถยังแล่นไปตามแรงเฉื่อยได้เล็กน้อย รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวขับไปจอดด้านหน้ารถของผู้เสียหาย จำเลยลงจากรถเดินมาหาผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายต้องเลี้ยวรถกลับพร้อมเข็นรถจักรยานยนต์ไปด้วยเพื่อหลบหนี จำเลยเดินตามมาติด ๆ ผู้เสียหายคิดว่าไม่สามารถหลบหนีจำเลยได้แล้วจึงทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ จำเลยใช้ลูกกุญแจที่ดึงไปเสียบที่รูกุญแจติดเครื่องยนต์ขับตามพวกของจำเลยหลบหนีไปทางตลาดเสาธง ผู้เสียหายโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะแจ้งเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย พาหนะที่ใช้รวมทั้งเส้นทางที่คนร้ายหลบหนีด้วย เห็นว่า แม้ว่าเหตุจะเกิดในเวลากลางคืน แต่ได้ความจากผู้เสียหายและพันตำรวจโทวีระชัย พนักงานสอบสวนที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าสาธารณะที่ติดอยู่ริมทางและที่เกาะกลางถนน แม้ผู้เสียหายจะไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน แต่ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยหลายครั้งโดยครั้งแรกขณะที่จอดรถติดสัญญาณไฟแดง ครั้งที่ 2 เห็นขณะถูกขับรถตามประกบนานถึง 3 นาที แล้วเห็นจำเลยชักอาวุธปืนจากเอวมาจี้เอวผู้เสียหายพร้อมกับดึงกุญแจรถ ครั้งที่ 3 เห็นจำเลยขณะพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปดักหน้าผู้เสียหายแล้วจำเลยลงจากรถเดินมาที่ผู้เสียหายจนผู้เสียหายเลี้ยวรถกลับพร้อมกับเข็นรถไป มาเห็นจำเลยอีกครั้งเมื่อจำเลยนำกุญแจรถที่ดึงไปมาติดเครื่องยนต์รถของผู้เสียหายแล้วขับหลบหนีไป ขณะเกิดเหตุจำเลยมิได้มีอะไรปิดบังใบหน้ามีแต่ใช้เสื้อลายพรางทหารคาดไว้ที่บริเวณศีรษะ หลังจากเกิดเหตุประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายเห็นจำเลยที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลพบุรีก็ชี้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายนอกจากนี้โจทก์ยังมีดาบตำรวจฉลอง เต็มแป้น มาเบิกความว่า ขณะที่พยานกับพวกปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณวงเวียนสระแก้ว พยานได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุ 191 ว่ามีคนร้าย 2 คน ระบุการแต่งกายและรถจักรยานยนต์ที่ใช้กระทำผิด พยานกับพวกใช้รถยนต์กระบะของกรมตำรวจไปที่เกิดเหตุ ระหว่างทางพบวัยรุ่น 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อและสีตามที่ได้รับแจ้งคนละคันแล่นสวนทางมา โดยคนร้ายคนแรกสวมหมวกนิรภัย ส่วนคนหลังใช้ผ้าคาดบริเวณต้นคอปิดเฉพาะปากไม่ปิดจมูก จึงหยุดรถพร้อมเรียกเพื่อขอตรวจค้น วัยรุ่นทั้งสองคนขับรถหลบหนี จึงขับรถยนต์ติดตามไปตลอดจนไปพบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มอยู่ คนขับรถคันนี้ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ขับอยู่ข้างหน้าขับหนีไปทางซอยละโว้ 73 พยานแจ้งให้สายตรวจปิดล้อมเส้นทางที่คนร้ายจะขับรถผ่าน เมื่อพยานกับพวกตามไปได้พบรถของคนร้ายจอดอยู่ที่บริเวณทางโค้งจะออกซอยละโว้ 73 จึงแยกย้ายกันค้นหาคนร้ายทั้งสองแต่ไม่พบ จากการตรวจค้นรถจักรยานยนต์ของคนร้ายพบอาวุธปืน 1 กระบอก เสื้อแขนยาวลายพรางทหารและสมุดของโรงเรียนเทคโนโลยีละโว้ที่หน้าปกมีชื่อและนามสกุลของจำเลยปรากฏอยู่ ในเวลาต่อมาจำเลยไปที่สถานีตำรวจบอกว่าเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่คนร้ายใช้กระทำผิดมาขอรับคืน พยานเห็นจำเลยจำได้ว่าเป็นคนร้ายที่ลักษณะตรงกับคนร้ายที่ขับรถสวนทางกันจึงเชิญตัวจำเลยไปให้ผู้เสียหายซึ่งอยู่ที่สถานีตำรวจในขณะนั้นดูตัว ผู้เสียหายเห็นจำเลยก็ยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป พยานโจทก์ปากนี้แม้จะเห็นหน้าจำเลยในขณะที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายสวนทางมา แต่ก็เห็นในระยะห่างไม่เกิน 1 เมตร เมื่อพยานให้สัญญาณจอด จำเลยชะลอความเร็วลดลงคล้ายกับจะตัดสินใจว่าจะจอดหรือไม่จอด ทั้งยังพบจำเลยกับพวกหลังจากรับแจ้งเหตุย่อมจะสนใจจำเลยที่ไม่สวมหมวกนิรภัยแต่ใช้ผ้าคาดบริเวณต้นคอปิดเฉพาะปากไม่ปิดจมูกมากยิ่งขึ้น ตรงที่ขับรถสวนกันก็เป็นถนนศรีอินทราทิตย์อันเป็นถนนในเมืองน่าจะมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าริมถนนทั้งยังมีแสงสว่างจากรถยนต์กระบะของพยานที่ส่องออกไป จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ปากนี้เห็นและจำหน้าจำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายเบิกความว่า คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใช้เสื้อลายพรางคาดที่ศีรษะแต่กลับให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมตามบันทึกการจับกุมว่า คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใช้เสื้อลายพรางปิดปากไว้ จึงแตกต่างกันอย่างชัดแจ้งนั้น เห็นว่า ขณะที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยเป็นเวลาที่จำเลยกำลังก่อเหตุ แต่ในขณะที่ดาบตำรวจฉลองเห็นจำเลยเป็นเวลาที่จำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหลบหนี จำเลยสามารถใช้เสื้อเปลี่ยนจากคาดที่บริเวณศีรษะเป็นการปิดปากได้ง่ายและรวดเร็ว บันทึกการจับกุมดังกล่าวดาบตำรวจฉลองเป็นผู้ทำซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ตามที่ตนทราบ มิใช่จากคำให้การของผู้เสียหาย ดังนั้น จึงมิใช่ข้อแตกต่างกัน ที่จำเลยฎีกาว่าถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจำจำเลยได้ก็ต้องจับจำเลยทันทีไม่จำเป็นต้องให้ผู้เสียหายดูตัวจำเลยก่อน ผู้เสียหายเห็นจำเลยก็ต้องชี้ตัวจำเลยทันทีโดยไม่เกิดกังวลว่าจะใช่คนร้ายหรือไม่นั้น การที่ดาบตำรวจฉลองให้ผู้เสียหายซึ่งอยู่ที่สถานีตำรวจดูตัวจำเลยก่อนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นคนร้ายแน่ การกระทำดังกล่าวมิใช่ข้อพิรุธหรือข้อสงสัยว่าจะจำหน้าจำเลยไม่ได้ ส่วนผู้เสียหายก็เบิกความตอบทนายจำเลยไว้ด้วยว่าเหตุที่ตอนแรกไม่กล้าชี้ตัวก็เพราะเห็นจำเลยในระยะห่างประมาณสิบกว่าเมตร หลังจากนั้นก็ชี้ตัวจำเลยทันทีว่าเป็นคนร้าย ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของบุคคลที่มาขอยืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยไป พนักงานสอบสวนน่าจะนำบุคคลดังกล่าวมาสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่กลับไม่ดำเนินการให้นั้นก็เห็นว่า จำเลยอ้างว่านายประคอง กัญหา ขอยืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปกับนายดำ ไม่ทราบนามสกุล พันตำรวจโทวีระชัย พนักงานสอบสวนได้ไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านและรูปถ่ายของนายประคองมาให้ผู้เสียหายดูแล้ว ผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ใช่คนร้าย ส่วนนายดำไม่สามารถดำเนินการอย่างใดได้ เพราะไม่ทราบนามสกุลจริง จำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาโดยตลอด หากเพื่อนของจำเลยเป็นคนร้ายก็ควรจะช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจในการนำตัวบุคคลเหล่านั้นมาให้เจ้าพนักงานตำรวจสอบสวน แต่จำเลยกลับไม่ดำเนินการใด ๆ อีกทั้งการกล่าวอ้างว่าเพื่อนของจำเลยมายืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปโดยมีตัวจำเลยมาเบิกความเพียงปากเดียว ย่อมไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์มานั้นชอบแล้ว สำหรับฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายที่ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาทการกระทำผิดของจำเลยยังใช้อาวุธปืนอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี อันต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่งด้วยที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์มีกำหนด 15 ปี จึงเป็นโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วไม่อาจลดโทษให้อีกได้ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน