แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์ไปด้วยกันแล่นผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายเพื่อดูลาดเลาหาโอกาสชิงทรัพย์ผู้เสียหายก่อนแล้วจอดรถห่างจากผู้เสียหายเพียง 2 เมตรโดยไม่ดับเครื่อง จำเลยที่ 1 ลงจากรถไปรัดคอและกระชากสร้อยคอผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีขึ้นรถ จำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถตลอดเวลา เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็นั่งรถหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ลงมือกระชากสร้อย จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย
เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาวุธ (มีด) ติดตัวไปด้วยในการปล้นทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ใช้หรือแสดงอาวุธในการกระทำความผิด และจำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดตามมาตรา340 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2514
ศาลล่างพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดและลงโทษจำเลย ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้คำพิพากษาไม่ได้กล่าวในรายละเอียดไว้ว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2518 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีมีดปลายแหลมเป็นอาวุธ ปล้นเอาสายสร้อยคอทองคำ 1 เส้นพร้อมด้วยพระเลี่ยมทอง 1 องค์ของเด็กหญิงศุภมิตร แซ่ตั้ง ผู้เสียหายโดยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายรัดคอผู้เสียหายแล้วกระชากเอาไปโดยทุจริตเพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ และในการปล้นทรัพย์นี้จำเลยร่วมกันใช้รถยนต์เป็นพาหนะพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้ในวันเกิดเหตุพร้อมด้วยทรัพย์ของผู้เสียหาย ซึ่งได้คืนให้ผู้เสียหายไปแล้วและได้มีด 1 เล่มที่ใช้ในการกระทำผิด กับรถยนต์กะบะบรรทุก 1 คันของผู้อื่นเป็นของกลาง จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน มากระทำความผิดคดีนี้อีกภายใน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ จึงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี มาตรา 83, 92 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 14, 15 ริบมีดของกลางและเพิ่มโทษจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามฟ้อง จำเลยที่ 2,3 ให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2514ข้อ 14, 15 วางโทษจำคุกคนละ 24 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 เพิ่มโทษตามมาตรา 92อีก 1 ใน 3 เป็นจำคุก 32 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานชิงทรัพย์ ลดโทษให้ตามมาตรา 78 ลง 1 ใน 3 คงจำคุก 21 ปี 4 เดือน มีดของกลางริบ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 จะมีความผิดฐานเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์ไปด้วยกัน โดยแล่นไปช้า ๆ ผ่านหน้าบ้านที่ผู้เสียหายกำลังทำความสะอาด 2 เที่ยว แล้วจึงจอดห่างผู้เสียหายประมาณ 2 เมตรจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขับจอดรถโดยไม่ดับเครื่อง จำเลยที่ 1 ลงจากรถเดินเข้าไปข้างหลังผู้เสียหาย ใช้แขนขวารัดคอ แล้วกระชากสร้อยคอทองคำซึ่งมีพระเลี่ยมทอง1 องค์จากคอผู้เสียหาย แล้ววิ่งไปขึ้นรถ จำเลยที่ 3 ขับหนีไป แต่ในที่สุดจำเลยทั้งสามก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้พร้อมด้วยสร้อยคอ และได้มีดพกปลายแหลม1 เล่มจากจำเลยที่ 1 เป็นของกลาง ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามนั่งรถผ่านหน้าบ้านที่ผู้เสียหายกำลังทำความสะอาดอยู่ 2 เที่ยว เชื่อว่าจำเลยทั้งสามพากันมาดูลาดเลาก่อนเพื่อหาโอกาสชิงทรัพย์ และจำเลยที่ 2 นั่งรออยู่ในรถห่างผู้เสียหาย 2 เมตร ในขณะจำเลยที่ 1 ลงจากรถไปกระชากสร้อยของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา เมื่อได้ทรัพย์ก็พากันนั่งรถที่ติดเครื่องรออยู่หนีไป และถูกจับได้พร้อมกันในเวลาต่อมาไม่นาน คืนนั้นเองจำเลยที่ 2 ก็รับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำบันทึกจับกุมว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังนี้จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันไปกระทำผิด แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ลงมือกระชากสร้อยก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์เช่นเดียวกัน
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกคำรับสารภาพชั้นถูกจับกุมของจำเลยที่ 2 มาวินิจฉัยว่า กระทำผิด เป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้รับฟังเฉพาะคำรับสารภาพนั้นเพียงอย่างเดียว แล้วเชื่อว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิด แต่ได้รับฟังประกอบกับพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะกระทำได้ และที่ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่ให้การซัดทอดจำเลยที่ 2 มาพิจารณาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้ไม่รับฟังคำให้การของจำเลยที่ 1 พยานเหตุผลแวดล้อมกรณีก็พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดด้วยแล้ว และที่ศาลล่างทั้งสองพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้วเชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดและลงโทษจำเลยนั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ แม้คำพิพากษาจะมิได้กล่าวไว้ว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ใช้อาวุธหรือแสดงอาวุธในทางกระทำผิด จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธ จะลงโทษจำเลยที่ 2 ว่าร่วมกระทำผิดโดยมีอาวุธทำการปล้นทรัพย์ไม่ได้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ไม่ได้บัญญัติว่าผู้กระทำการปล้นทรัพย์ต้องแสดงหรือใช้อาวุธ หรือรู้ว่าผู้ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์มีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงจะลงโทษตามบทมาตรานี้ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว แต่เห็นว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 2 ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้ ควรลดโทษให้จำเลย จึงพิพากษาแก้ เป็นว่า เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 ลง 1 ใน 3 แล้ว คงให้จำคุก 16 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์