แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเกิดปากเสียง ด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกคนหนึ่งของผู้ตาย ผู้ตายเข้าห้ามให้แยกกันและใช้มือตบหน้าจำเลยไป 1 ที โดยมิได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยได้ชักมีดออกแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ถึง 3 แผล ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหาได้ไม่และการที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงทำร้ายผู้ตายไปในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดด้วยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเวลากลางวันของวันที่ 6 กรกฎาคม 2510 จำเลยที่ 1 ใช้มีดพกปลายแหลม จำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตะบอง ร่วมกันแทงและตีทำร้ายนายดุลยาซิงห์ โดยเจตนาฆ่านายดุลยาซิงห์ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย และจำเลยที่ 1 ยังใช้มีดแทงทำร้ายนายยากัสซิงห์หรือกระยาซิงห์เกิดอันตรายแก่กายสาหัส เหตุเกิดที่ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 297
นายยากัสซิงห์ผู้เสียหายและนางสาวมินทร์โกรกับพวกรวม 5 คนบุตรผู้ตาย ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลไต่สวนแล้วสั่งอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายและจำเลยที่ 2มิได้ร่วมสมคบหรือสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทะเลาะกับนายยากัสซิงห์ก่อนผู้ตายเข้าห้ามจำเลยที่ 1 จึงใช้มีดแทงผู้ตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297 ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก 18 ปี ยกฟ้องสำหรับตัวจำเลยที่ 2มีดของกลางให้ริบ
โจทก์และนางสาวมินทร์โกร์กับพวกโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า เป็นการกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยแทงผู้ตายและนายยากัสซิงห์เพราะถูกนายยากัสซิงห์ด่าและตบหน้าซึ่งเป็นการข่มเหงกันอย่างร้ายแรงโดยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยบันดาลโทสะ มิใช่เกิดจากกรณีวิวาท สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามศาลชั้นต้น
นางสาวมินทร์โกร์กับพวกโจทก์ร่วมฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ส่วนฎีกาเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ไม่รับ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่ามีดของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งชักออกทำร้ายผู้ตายและนายยากัสซิงห์ ผู้ตายกับนายยากัสซิงห์ได้พบกับจำเลยที่ 1ที่หน้าปากตรอกเข้าบ้านหัวหน้ายาม นายยากัสซิงห์ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะไปที่ไหนจะไปทำไมกัน จำเลยที่ 1 ก็ด่าแม่นายยากัสซิงห์ก่อน ครั้นนายยากัสซิงห์ด่าตอบ ทั้งสองคนก็เข้าใช้มือผลักกัน นายดุลยาซิงห์ผู้ตายเข้าห้ามและตบหน้าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกแทงนายดุลยาซิงห์ นายยากัสซิงห์เข้าไปจะช่วยก็ถูกจำเลยที่ 1 แทงอีกหลายแผล ได้รับบาดเจ็บถึงสาหัส
การที่นายดุลยาซิงห์ตบหน้าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ใช้มีดแทงนายดุลยาซิงห์ทันที บาดแผลของนายดุลยาซิงห์ที่ถูกจำเลยที่ 1 แทงเอานั้น ล้วนแต่ฉกรรจ์ทั้งสิ้น คือถูกบริเวณทรวงอก 2 แผล แผลหนึ่งทะลุเข้าเยื่อหุ้มปอดทะลุหัวใจ อีกแผลหนึ่งทะลุเยื่อหุ้ม ปอดและเนื้อปอด ส่วนแผลที่ 3 ทะลุเข้าช่องท้องถูกเยื่อบุลำไส้มีเลือดออกในช่องท้องประมาณ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตรการกระทำอันรุนแรงของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหาได้ไม่เพราะพอผู้ตายตบหน้าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ใช้มีดแทงผู้ตายทันที โดยที่ผู้ตายมิได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยอาวุธอะไรต่อไป อย่างไรก็ตามที่ผู้ตายตบหน้าจำเลยที่ 1 ก่อนถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 บันดาลโทสะ ย่อมได้รับผลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
พิพากษายืน