คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9797/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายยังเป็นเด็กอายุ 13 ปีเศษ และพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอม ที่จำเลยฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่า เมื่อผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา จึงไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ…” แสดงว่า กฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก ดังนั้น แม้ผู้เสียหายยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย และมารดาผู้เสียหายย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 364 และ 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง พ. ผู้เสียหายโดยนางสาว ส. มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางจิตใจ 200,000 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล 200,000 บาท และค่าทนทุกข์ทรมาน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, (ที่ถูก มาตรา 277 วรรคหนึ่ง (เดิม)), 365 (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 16 มกราคม 2558) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มกราคม 2558) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง โทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้เสียหายเกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2543 เป็นบุตรของนางสาว ส. กับนาย ธ. ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 13 ปีเศษ และพักอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดเหตุ ส่วนจำเลยพักอาศัยอยู่กับนางสาว ฉ ที่บ้านเช่าของญาตินางสาว ส. อยู่ติดกับบ้านเกิดเหตุ วันที่ 24 เมษายน 2557 นางสาว ส. ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาจำเลยเป็นคดีนี้ สำหรับความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์และผู้ร้องมิได้ฎีกา คดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพูดคุยกับจำเลยผ่านโปรแกรมเฟซบุ๊ก จำเลยใช้ชื่อว่า JUGKREE ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยปีนจากระเบียงบ้านชั้นบนเข้ามาในห้องนอน จำเลยผลักผู้เสียหายล้มลงบนเตียงนอนแล้วถอดกางเกงยืดขายาวของผู้เสียหายออก จากนั้นจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายพยายามผลักจำเลยออกแต่สู้แรงจำเลยไม่ได้ ต่อมาผู้เสียหายรู้สึกว่ามีน้ำเลอะที่บริเวณขา คาดว่าจำเลยไม่ได้หลั่งน้ำอสุจิภายในช่องคลอด จำเลยสวมกางเกงและออกไปทางประตูระเบียง ผู้เสียหายอาบน้ำทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ โดยไม่ได้เล่าให้ผู้ใดฟัง หลังเกิดเหตุจำเลยกล่าวขอโทษผู้เสียหายผ่านทางเฟซบุ๊กถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ต่อมาในวันที่ 24 เมษายน 2557 ผู้เสียหายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านทางเฟซบุ๊กและโทรศัพท์ให้นาย ค. นักเรียนรุ่นพี่ทราบ นาย ค. แจ้งให้มารดานาย ค. ทราบ ต่อมานางสาว ส. ทราบเรื่องจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายถูกส่งตัวไปให้แพทย์ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ และนาย ค. พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ผู้เสียหายส่งข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กถึงพยานในทำนองว่าผู้เสียหายเป็นคนไม่ดี ไม่อยากติดต่อกับพยานอีก โดยผู้เสียหายส่งข้อความสนทนาระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยให้พยานดูด้วย มีข้อความว่า ผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับจำเลย พยานโทรศัพท์ไปสอบถามผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พยานฟัง พยานไปบอกนาง น. มารดาพยาน นาง น. โทรศัพท์แจ้งให้มารดาผู้เสียหายทราบ กับโจทก์มีนางสาว ส. เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อพยานทราบเรื่องจากนาง น. แล้ว พยานสอบถามผู้เสียหายในวันนั้น ผู้เสียหายแจ้งว่าถูกจำเลยคนข้างบ้านข่มขืน พยานไปหาจำเลยที่บ้านแล้ว จำเลยบอกว่าไม่ได้ข่มขืนผู้เสียหาย พยานให้จำเลยโทรศัพท์ไปหามารดาจำเลยที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยจึงคุกเข่าลงและยอมรับว่าทำจริง พยานขอบัตรประจำตัวประชนของจำเลยและไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน โดยมอบบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยให้แก่พนักงานสอบสวนด้วย นอกจากนี้โจทก์มีพันตำรวจโทหญิง ต. พนักงานสอบสวน เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากรับแจ้งเหตุแล้ว พยานส่งตัวผู้เสียหายให้แพทย์ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ วันรุ่งขึ้นได้แจ้งข้อกล่าวหาจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาพยานได้รับแจ้งผลการตรวจชันสูตรบาดแผลผู้เสียหายแล้ว ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความอ้างฐานที่อยู่ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยนั่งเล่นเกมที่บริเวณชั้นล่างของบ้านพัก จำเลยไม่เคยปีนระเบียงเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายและมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยรู้จักผู้เสียหายผ่านทางเฟซบุ๊ก แต่ข้อความตามสำเนาภาพถ่ายไม่มีข้อความระบุว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายยังเป็นเด็กอายุ 13 ปีเศษ กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน ประกอบกับได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน ผู้เสียหายเคยติดต่อสัมพันธ์กับจำเลยที่ใช้ชื่อว่า JUGREE ในสื่อสังคมออนไลน์หรือเฟซบุ๊ก ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธว่า ชื่อบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวมิใช่ของจำเลย ทั้งหากเรื่องที่ผู้เสียหายถูกจำเลยกระทำชำเราไม่เป็นความจริง ผู้เสียหายคงไม่กล้าที่จะส่งข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กไปให้นาย ค. เพื่อนนักเรียนรุ่นพี่ว่าผู้เสียหายเป็นคนไม่ดี ไม่อยากติดต่อกับนาย ค. อีก และยังส่งข้อความที่ผู้เสียหายสนทนาทางเฟซบุ๊กว่าผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับจำเลย เพราะเป็นเรื่องที่ต้องอับอายขายหน้า เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของผู้เสียหายเอง ซึ่งนาย ค. ก็เบิกความยืนยันว่า ผู้เสียหายส่งข้อความดังกล่าวทางเฟซบุ๊กจริง นาย ค. จึงแจ้งเรื่องให้นางนิภารัตน์มารดานาย ค. ทราบ อันเป็นเหตุให้นาง น. แจ้งให้นางสาว ส. มารดาผู้เสียหายทราบและไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย แม้ข้อความสนทนาระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย จะไม่มีข้อความโดยชัดแจ้งว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม แต่ก็มีข้อความทำนองผู้เสียหายพูดคุยกับจำเลยในลักษณะตัดพ้อต่อว่าเกี่ยวกับการที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายในเชิงชู้สาว จำเลยตอบผู้เสียหายทำนองว่าจำเลยมีเพศสัมพันธ์กับผู้เสียหายเนื่องด้วยความรักในตัวผู้เสียหายมิใช่ความใคร่ จำเลยยอมให้มารดาผู้เสียหายแจ้งตำรวจจับจำเลยก็ได้ จำเลยยอมหมดแล้ว นอกจากนี้ยังได้ความว่า เมื่อนางสาว ส. เรียกจำเลยมาสอบถาม ในครั้งแรกจำเลยปฏิเสธ เมื่อนางสาว ส. ให้จำเลยโทรศัพท์ไปหามารดาจำเลยที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยจึงคุกเข่าลงและยอมรับว่าทำจริง และมอบบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยให้แก่นางสาว ส. ยิ่งสนับสนุนให้เชื่อว่าหากจำเลยมิได้ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหายจริงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่จะต้องยอมรับผิดและมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นางสาว ส. อันเป็นการผูกพันตนเองเช่นนี้ แม้ผลการตรวจร่างกายผู้เสียหายจะไม่พบตัวอสุจิและส่วนประกอบของน้ำอสุจิ ไม่พบบาดแผลใหม่บริเวณอวัยวะเพศ ไม่พบหลักฐานการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการตรวจภายใน 7 วัน ดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรู้สึกมีน้ำเลอะที่บริเวณขา คาดว่าจำเลยไม่ได้หลั่งน้ำอสุจิภายในช่องคลอด และหลังจากมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยแล้ว ผู้เสียหายเข้าไปอาบน้ำโดยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศมากกว่าปกติ จึงอาจเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถตรวจพบน้ำอสุจิหรือส่วนประกอบของน้ำอสุจิ ทั้ง พลตำรวจตรี พ. แพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายเบิกความว่า ตามปกติการมีเพศสัมพันธ์ไม่จำต้องมีบาดแผลที่อวัยวะเพศ กรณีจึงเป็นไปได้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะละมุนละม่อมโดยสมัครใจยินยอมของผู้เสียหาย มิได้กระทำในลักษณะข่มขืนหรือกระทำอย่างรุนแรง จึงไม่ปรากฏบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายดังที่พลตำรวจตรี พ. พยานโจทก์เบิกความ ที่จำเลยฎีกาอ้างฐานที่อยู่ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยนั่งเล่นเกมอยู่กับนาย ก. และนาย ท. จำเลยไม่ได้เข้าไปในห้องของนางสาว ฉ เพื่อผ่านไปห้องนอนผู้เสียหายซึ่งมีระเบียงชั้นบนติดต่อกัน หลังเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ยอมรับต่อนางสาว ส. ว่า จำเลยทำผิดจริงและมิได้มอบบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยให้แก่นางสาว ส. แม้จำเลยจะมีนาย ก. นางสาว ฉ. และนางสาว ด. มาเบิกความเป็นพยาน แต่นาย ก. เป็นคนรู้จักกันกับจำเลย นางสาว ฉ. และนางสาว ด. เป็นญาติจำเลย จึงอาจเบิกความช่วยเหลือเข้าข้างจำเลยก็เป็นได้ จึงไม่น่ารับฟังและไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ทั้งพันตำรวจโทหญิง ต. พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า นางสาว ส.มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยพร้อมทั้งมอบบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยตรงตามที่นางสาว ส. เบิกความ ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้ออื่นของจำเลยอีกเพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป
สำหรับที่จำเลยฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่า เมื่อผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา จึงไม่เป็นการกระทำโดยละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้แก่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ…” แสดงว่า กฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก ดังนั้น แม้ผู้เสียหายยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้เสียหายจึงไม่สิ้นสิทธิในการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย นางสาว ส. ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหายได้ ทั้งค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำนวน 200,000 บาท นั้น ก็เป็นการเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share