คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวเท็จให้ผู้อื่นจองหุ้นบริษัทหนึ่ง ซึ่งจำเลยอ้างตนว่าเป็นผู้อำนวยการบริษัท จนผู้อื่นเชื่อถือส่งเงินค่าจองหุ้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลย แต่จำเลยเพิ่งนำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียนภายหลัง ซึ่งคนอื่นๆ เข้าใจว่าจำเลยก็มิได้ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจัดตั้งบริษัทให้เป็นนิติบุคคลขึ้น กิจการที่จำเลยดำเนินอยู่ไม่มีอะไร และศาลฟังได้ว่าจำเลยมีแผนการณ์จะฉ้อโกงมาแต่ต้น จำเลยตั้งบริษัทขึ้นเป็นพิธีบังหน้าเพื่อการทุจริตของจำเลยเท่านั้น ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานฉ้อโกง

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องของโจทก์ ให้จำคุกจำเลย ๒ ปี เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบอีก ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๒ คงจำคุก ๒ ปี ๘ เดือน ฯ
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว มีว่า จำเลยได้กล่าวเท็จให้นายไพโรจน์จองหุ้นบริษัทการช่างแห่งประเทศไทย ซึ่งจำเลยอ้างตนว่าเป็นผู้อำนายการบริษัท จนนายไพโรจน์ส่งเงินค่าจองหุ้นครึ่งหนึ่ง จำนวน ๑๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลย แต่จำเลยเพิ่งนำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียนภายหลัง อันเป็นเวลสภายหลังที่จำเลยได้ให้นายไพโรจน์และบุคคลอื่นๆ เข้าใจว่าจำเลยได้ตั้งบริษัทแล้วตามกฎหมาย เพื่อจัดตั้งบริษัทให้เป็นนิติบุคคลขึ้น กิจการที่จำเลยดำเนินอยู่ไม่มีอะไร บุคคลที่มาทำงานกับจำเลยไม่งานทำ เงินเดือนจำเลยไม่จ่ายให้ประกอบกับเหตุผลอื่น ๆ อีก ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีแผนการณ์จะฉ้อโกงมาแต่ต้น จำเลยตั้งบริษัทขึ้นเป็นพิธีบังหน้าเพื่อการทุจริตของจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share