คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9787/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงจำเลยจำเลยจึงมีสิทธินำมูลค่าพันธบัตรที่โจทก์วางประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ามาชำระแทนตามที่ตกลงกันไว้ได้ แม้หนี้ค่ากระแสไฟฟ้ายังมีข้อต่อสู้อยู่ก็ตามเพราะมิใช่การหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร 341เนื่องจากโจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยเพียงฝ่ายเดียวส่วนจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์เพียงแต่นำพันธบัตรไปวางเป็นประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ใช้บริการกระแสไฟฟ้าของจำเลยโดยมีเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเลขที แอลบี 008491 ติดตั้ง ณบ้านเลขที่ 18/73 หมู่ที่ 1 แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบังกรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ให้บริษัทแอดวานซ์แมนูเฟคเจอเรอส์จำกัด เช่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2534 เป็นต้นมาผู้เช่าหยุดใช้กระแสไฟฟ้าบางช่วง ทำให้เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าหยุดทำงาน ไม่มีค่ากระแสไฟฟ้าเรียกเก็บ แต่จำเลยเรียกเก็บเงินในเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2534 เป็นเงินเดือนละ 7,170 บาท เดือนธันวาคม2534 เป็นเงิน 16,590 บาท รวมเป็นเงิน 61,860 บาท จำเลยได้หักค่าพันธบัตรชำระหนี้ดังกล่าวแล้วในระหว่างที่โจทก์ร้องขอความเป็นธรรมเพราะจำเลยเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้ากับผู้เช่าอาคารจากประเภทที่ 2 เป็นประเภทที่ 3 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบทั้งไม่ได้สั่งตัดเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเมื่อผู้ใช้ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามระเบียบการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าการหักเงินจากพันธบัตรของโจทก์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์ 54,690 บาท ต่อมาวันที่ 9 กรกฎาคม 2535 โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายกระแสไฟฟ้า แต่จำเลยไม่ดำเนินการ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะมีผู้ขอเช่าอาคารโจทก์ในอัตราเดือนละ88,000 บาท แต่ไม่อาจให้เช่าได้ จำเลยต้องใช้ค่าขาดประโยชน์ดังกล่าว โดยค่าเสียหายก่อนฟ้องโจทก์ขอคิดเพียง 150,000 บาทขอให้บังคับจำเลยคืนเงินพร้อมใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 204,690 บาทและค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 88,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะนำเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าไปติดตั้ง ให้จำเลยติดตั้งเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเลขที่ แอลบี 008491 พร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้าให้โจทก์ที่บ้านเลขที่ 18/73 ถนนอ่อนนุช แขวงลาดกระบังเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยแจ้งเลิกการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรและผิดนัดชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2534 จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2535 คิดเป็นเงินรวม61,860 บาท จำเลยทวงถามแล้วโจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงงดจ่ายกระแสไฟฟ้าแก่โจทก์ และได้ใช้สิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าค้างชำระกับหลักประกันที่โจทก์วางเป็นประกันเมื่อวันที่ 30 เมษายน2535 เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าของโจทก์จึงไม่มีหลักประกันการใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป การที่โจทก์ขอติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ากลับจะต้องนำหลักประกันมาวางต่อจำเลยใหม่เป็นเงิน 48,000 บาทพร้อมชำระค่าติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้ากลับเป็นเงิน 40 บาท ตามระเบียบของจำเลย แต่โจทก์ไม่ยินยอมปฏิบัติตามจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์ยื่นแบบขอใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 2 ในนามโจทก์ที่บ้านเลขที่ 18/73 หมู่ที่ 1 ซอยอ่อนนุชแขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ต่อจำเลยโดยโจทก์ตกลงจะปฏิบัติตามสัญญาที่ปรากฏในแบบขอใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.1 โจทก์วางหลักประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นพันธบัตรมูลค่า 48,000 บาท ตามสำเนาแบบรับพันธบัตรเงินกู้เอกสารหมาย จ.11 ต่อมาบริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าบ้านดังกล่าวจากโจทก์ได้ขอชำระค่ากระแสไฟฟ้าโดยวิธีให้จำเลยเรียกเก็บเงินจากธนาคารและให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีของบริษัทแล้วโอนเข้าบัญชีของจำเลย ต่อมาได้ยกเลิกการชำระค่ากระแสไฟฟ้าโดยวิธีดังกล่าวตามสำเนาแบบขอให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากเพื่อชำระค่ากระแสไฟฟ้าเอกสารหมาย จ.4 โจทก์ไม่เคยขอเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้า จำเลยเป็นผู้เปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวเป็นประเภทที่ 3 ต่อมาโจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2534 ถึงเดือนมกราคม 25358 โดยเดือนสิงหาคมนั้นมีการใช้ไฟฟ้าเพียง 40 หน่วย ส่วนเดือนอื่นไม่มีการใช้ไฟฟ้าจำเลยได้เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2534 เดือนละ 7,170 บาท ตามอัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.5 และเดือนธันวาคม 2534 กับเดือนมกราคม 2535 เดือนละ16,590 บาท ตามอัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.8 ซึ่งระบุจำนวนเงินไว้ในสำเนาใบเสร็จรับเงินค่ากระแสไฟฟ้าตามเอกสารหมาย ล.7
มีปัญหาชั้นฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้หรือไม่ จำเลยต้องติดตั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าและจ่ายค่ากระแสไฟฟ้ากับค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์และนายวุฒิพงษ์สุขสมานพาณิชย์ พยานโจทก์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.2 จ.4จ.6 ถึง จ.8 จ.11 ถึง จ.13 และ ล.5 ล.6 ล.8 ล.16 ว่า จำเลยกับบริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด ตกลงเปลี่ยนแปลงประเภทการใช้ไฟฟ้าเป็นประเภทที่ 3 และได้กำหนดการชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้าระหว่างกันโดยโจทก์มิได้รับทราบประการใดทั้ง ๆ ที่ระเบียบของจำเลยบัญญัติไว้ว่าหากมีการเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าให้แจ้งให้โจทก์เป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าของเดือนกันยายน 2534 ถึงเดือนมกราคม 2535 มีหน่วยที่ใช้ขึ้นเป็นเลขศูนย์ตามเอกสารหมาย จ.7และ จ.8 แสดงว่าความจริงโจทก์มิได้ใช้กระแสไฟฟ้าอย่างเช่นที่ปรากฏตามอัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.5 และสำเนาบันทึกหน่วยการใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.6 แต่ประการใด จำเลยจึงไม่เสียหายไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจากโจทก์และไม่มีสิทธิหักหนี้จากพันธบัตรของโจทก์ที่วางไว้เป็นประกัน โดยโจทก์มีข้อต่อสู้โต้แย้งตลอดมากับขอให้ระงับการหักหนี้ด้วย โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยติดตั้งเครื่องวัดหน่วยกระแสไฟฟ้าให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ติดตั้งทำให้โจทก์ขาดบุคคลมาเช่าอาคารได้รับความเสียหายต้องขาดรายได้ ในปัญหาดังกล่าวได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าในปี 2527 โจทก์ยื่นคำขอใช้บริการกระแสไฟฟ้าต่อจำเลยและขอเพิ่มเติมในปี 2528 โดยลงลายมือชื่อในช่องผู้ขอใช้ไฟฟ้าตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ทั้งได้ซื้อพันธบัตรการไฟฟ้าของจำเลยไว้จำนวน 48,000 บาท ตามสำเนาพันธบัตรเอกสารหมาย จ.11วันที่ 6 กันยายน 2532 โจทก์ให้บริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์จำกัด เช่าบ้านเลขที่ 18/73 ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.3โดยไม่มีข้อตกลงในเรื่องการเพิ่มหรือลดกระแสไฟฟ้ากันแต่อย่างใดทั้งโจทก์ไม่ทราบว่าบริษัทแอดวานซ์แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัดใช้กระแสไฟฟ้าเพียงใดพิเคราะห์แบบขอใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.1 และล.2 ซึ่งโจทก์ทำไว้กับจำเลยมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าขอให้สัญญาต่อการไฟฟ้านครหลวงว่า
1. ข้าพเจ้าจะชำระเงินค่าธรรมเนียมการใช้ไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าตามอัตราที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนดตลอดไปจนกว่าจะบอกเลิกการใช้ไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงทราบเป็นลายลักษณ์อักษร
2. ข้าพเจ้ายินยอมชำระเงินค่าไฟฟ้า ค่าเสียหาย และค่าปรับตามที่การไฟฟ้านครหลวงเรียกเก็บในกรณีที่มีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าเสียหายหรือแสดงหน่วยลดน้อยจากความเป็นจริง
3. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามข้อบังคับการบริการและใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง รวมทั้งที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปทุกประการ
4. หากข้าพเจ้าปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ข้าพเจ้ายอมให้การไฟฟ้านครหลวงงดจ่ายไฟฟ้าได้ทันที โดยข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น”
นอกจากเอกสารดังกล่าวแล้วจำเลยยังนำสืบอธิบายยืนยันเอกสารด้วยว่าแม้โจทก์ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ต้องชำระค่าใช้กระแสไฟฟ้าในอัตราขั้นต่ำที่กำหนดเพราะจำเลยต้องสำรองไฟฟ้าให้โจทก์ใช้ในข้อนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์หนังสืออัตราค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.5และ ล.8 ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2533 กับวันที่1 ธันวาคม 2534 ตามลำดับ ปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้ากับอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำไว้ด้วย ฉะนั้นตราบใดที่โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการใช้ไฟฟ้าให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร โจทก์ก็ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามจริงตามอัตราที่จำเลยกำหนดไว้และแม้จะปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ใช้กระแสไฟฟ้าหรือใช้น้อยเพียงใดโจทก์ก็ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าอย่างน้อยในอัตราต่ำสุดที่กำหนดไว้เช่นกัน นอกจากนี้ในเอกสารหมาย ล.5 และ ล.8 นั้นเองยังมีข้อความระบุถึงวิธีการเปลี่ยนประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อคำนวณอัตราค่ากระแสไฟฟ้าซึ่งไม่จำต้องให้โจทก์แสดงเจตนาตกลงเปลี่ยนประเภทอีกหากเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อจำนวนการใช้ไฟฟ้าของโจทก์เพิ่มขึ้น เมื่อปรากฏตามสำเนาบันทึกหน่วยการใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.6 ว่า ในเดือนตุลาคม 2532 โจทก์ใช้กระแสไฟฟ้ามากกว่าเดือนละ 30 กิโลวัตต์ ที่จำเลยเปลี่ยนประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าของโจทก์เป็นประเภทที่ 3 แล้วเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าตามเอกสารหมาย ล.5 ล.7 และ ล.8 จึงกระทำได้โดยชอบ และเมื่อโจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าเอกสารหมาย ล.7ก็จำเป็นอยู่เองที่จำเลยต้องนำมูลค่าพันธบัตรที่โจทก์วางประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ามาชำระแทนโดยหักชำระหนี้แล้วคงเหลือจำนวนเงิน 192.05 บาท ตามบันทึกการหักกลบลบหนี้เอกสารหมาย จ.12ที่โจทก์ฎีกาว่า หนี้ค่ากระแสไฟฟ้ายังมีข้อต่อสู้อยู่จะนำมาหักกลบลบหนี้กับพันธบัตรไม่ได้นั้น เห็นว่า การหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้วแต่คดีนี้กลับได้ความว่าโจทก์เป็นหนี้กระแสไฟฟ้าจำเลยเพียงฝ่ายเดียวส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงแต่นำพันธบัตรไปวางเป็นประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share