คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9777/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อ ชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยที่ซื้อไปจากโจทก์ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เป็นค้ำประกันเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้และจำเลยได้ชำระ ค่าสินค้าให้โจทก์แล้วแต่โจทก์ยังออกใบเสร็จรับเงินให้ไม่ครบ ทั้ง ๆ ที่เช็คดังกล่าวจำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยให้โจทก์เช่นนี้ คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าที่จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งธนบุรีว่า “เช็คที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเช็ดที่ข้าฯออกให้เป็นค้ำประกัน ฉะนั้นเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ และตามที่ข้าฯชำระเงินค่าสินค้าให้กับโจทก์ แต่ทางโจทก์ยังออกใบเสร็จรับเงินให้ข้าฯไม่ครบ” นั้น เป็นการเบิกความด้วยความสุจริตตามข้อเท็จจริงที่เป็นจริง โดยจำเลยมีข้อสนับสนุนคือเช็คทั้ง 5 ฉบับ โจทก์ได้นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดหล่มสักเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ด้วย ซึ่งเช็คทั้ง 5 ฉบับ เป็นส่วนหนึ่งของเช็คจำนวน 9 ฉบับ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายชำระค่าสินค้าให้โจทก์ผลที่สุด ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 4822-4823/2540 ให้ยกฟ้องโจทก์ แสดงว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่ามิใช่เช็คชำระหนี้ แต่เป็นเช็ค ค้ำประกันที่จำเลยมอบให้แก่นายประวิทย์ โรจนเพียรสถิตประธานบริษัทโจทก์ จำนวน 10 ฉบับ นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เพราะพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 277 วรรคสอง หาได้วินิจฉัยว่า เช็คทั้ง 5 ฉบับ ตามฟ้องออกโดยไม่มีมูลหนี้หรือมิได้ออกเพื่อชำระหนี้ไม่นอกจากนั้นในคดีแพ่งที่บริษัทมิตรมงคลขนส่ง จำกัด ฟ้องจำเลยและโจทก์ให้ร่วมกันชำระเงินตามเช็ค 2 ฉบับ ที่โจทก์โอนชำระหนี้ให้บริษัทดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งแถลงยอมรับและอ้างตัวเองเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวสรุปความได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยไม่รวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 22,700,000 บาท จริง ไม่เคยนำหลักทรัพย์ไปค้ำประกันการสั่งซื้อ และรับว่าการสั่งจ่ายเช็คเป็นการสั่งจ่ายเพื่อชำระค่าสินค้า เพียงแต่อ้างว่าออกเช็คจำนวน 10 ฉบับ ไม่ใช่ 9 ฉบับเท่านั้น ซึ่งหากจำเลยออกเช็คเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่โจทก์จริง จำเลยก็ควรออกเช็คเพียงฉบับเดียวได้ไม่มีเหตุที่จะต้องออกเช็คถึง 9 ฉบับ แต่ละฉบับมีจำนวนเงินเท่ากันเช่นนี้ และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า วันที่สั่งจ่ายในเช็คแต่ละฉบับได้มีการตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลายมือของจำเลยก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลทำให้ความสมบูรณ์ของเช็คนั้นเสียไป เพราะกฎหมายอนุญาตให้ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายที่ทำการโดยสุจริตลงวันที่ถูกต้องแท้จริงลงในเช็คได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 910 วรรคสุดท้าย และจำเลยมิได้โต้เถียงว่าการลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คดังกล่าวได้กระทำไปโดยไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายแต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ พยานหลักฐานที่โจทก์สืบมาจึงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คทั้ง 9 ฉบับ มอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยที่ซื้อไปจากโจทก์ ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วและ หนี้ดังกล่าวเป็นมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับนางวันเพ็ญ แซ่เบ๊ น้องสาวโจทก์ และนางวันเพ็ญได้โอนเงินให้โจทก์โดยเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์เป็นเงินกว่า 23,500,000 บาท นั้น เห็นว่า ตามที่จำเลยนำสืบมา จำเลยอ้างว่ามูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องดังกล่าวเป็นมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับนางวันเพ็ญน้องสาวจำเลย โดยอ้างว่านางวันเพ็ญได้โอนชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสำเนาคำขอโอนเงิน และสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน แต่เอกสารดังกล่าวตรวจดูแล้วแสดงเพียงว่าได้มีการโอนเงินไปเข้าบัญชีโจทก์ตามรายการในสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวเท่านั้น ไม่ปรากฏรายละเอียดแสดงให้เห็นว่าเป็นการโอนเงินเพื่อชำระหนี้รายใด ตามใบสั่งซื้อหรือบิลเงินเชื่อฉบับใด จึงไม่อาจรับฟังว่าเป็นการโอนชำระหนี้ตามบิลเงินเชื่อจำนวน 229 ฉบับ ที่จำเลยเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าปุ๋ยจากโจทก์แล้วออกเช็คจำนวน 9 ฉบับ ชำระหนี้แก่โจทก์ดังกล่าวข้างต้นตามที่จำเลยอ้าง จำเลยก็ยอมรับว่าการชำระหนี้ทุกครั้งโจทก์ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ แม้แต่ที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจำนวน 800,000 บาท โจทก์ออกใบเสร็จรับเงินให้ ดังนั้น การที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเช็คจำนวน 9 ฉบับ ที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยที่ซื้อไปจากโจทก์ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เป็นค้ำประกันเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้ และจำเลยได้ชำระค่าสินค้าให้โจทก์แล้วแต่โจทก์ยังออกใบเสร็จรับเงินให้ไม่ครบ ทั้ง ๆ ที่เช็คดังกล่าวจำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยให้โจทก์เช่นนี้ คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงมีความผิด ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share