คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15349/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นอายัดเงินค่าเช่าที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เงินค่าเช่าที่จำเลยได้นำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่จำต้องทำการยึดหรืออายัดอีก แต่ไม่ให้นำไปชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจบังคับคดีเอาแก่เงินจำนวนดังกล่าวได้ทันที จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบ ที่ถูกศาลชั้นต้นจะต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปตามหนังสือขออายัดซึ่งมีผลเท่ากับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคหนึ่ง อย่างช้าสุดนับแต่วันที่ 10 มกราคม 2546 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นได้รับหนังสืออายัด ทั้งตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 บัญญัติว่า “คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว หรือหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น จะใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไม่ได้ เว้นแต่การบังคับคดีนั้น สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์” และตามวรรคสองของบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “การบังคับคดีนั้น ให้ถือว่าสำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง” เมื่อถือว่ามีการอายัดเงินค่าเช่านับแต่วันที่ 10 มกราคม 2546 เจ้าหนี้อื่นมีสิทธิยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคห้า ได้ภายในวันที่ 24 มกราคม 2546 จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดวันที่ 18 สิงหาคม 2552 การบังคับคดีจึงสำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วย่อมใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ แม้คดีนี้ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2548 โจทก์จะมีการยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อโจทก์จะได้บังคับเอากับเงินดังกล่าว และศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของโจทก์ ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ต้องเสียไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 12 มีนาคม 2544 ขอให้คุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่า ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาวางศาลเป็นเงิน 19,200,000 บาท ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินเฉพาะค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท มาวางศาลนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2543 รวม 24 เดือน เป็นเงิน 1,440,000 บาท แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดี โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลย ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลย ต่อมาวันที่ 11 กรกฎาคม 2545 จำเลยนำเงินค่าเช่าจำนวน 1,440,000 บาท ไปวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถอนการอายัดและส่งเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลตามหนังสือส่งเงินลงวันที่ 21 สิงหาคม 2545 ศาลชั้นต้นรับเงินเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2545
วันที่ 15 สิงหาคม 2545 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 170482, 163341, 30174, 30175 ตำบลสวนหลวง (พระโขนงฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร และออกไปจากอาคารเลขที่ 1312 หมู่ที่ 1 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 600,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่โจทก์หรือจนกว่าโจทก์จะได้กลับเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 50,000 บาท ยกฟ้องแย้งจำเลย สำหรับคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาที่ศาลได้สั่งไว้แล้วนั้น เนื่องจากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าจำนวนเงินที่ศาลได้มีคำสั่งให้จำเลยนำมาวางต่อศาล ดังนั้น จึงให้คำสั่งดังกล่าวเป็นอันยกเลิกไปเมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษานี้ และหากมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยตามหมายบังคับคดีในชั้นคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาแล้ว ให้ถือเป็นการบังคับคดีตามหมายบังคับคดีที่ออกใหม่นั้นต่อไป
วันที่ 9 ตุลาคม 2545 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี
วันที่ 27 ธันวาคม 2545 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นขออายัดเงินค่าเช่าจำนวน 1,440,000 บาท ที่จำเลยวางต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่จำต้องยึดหรืออายัดอีก และเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุดยังไม่เห็นควรให้นำไปชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
วันที่ 1 เมษายน 2548 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินค่าเช่าจำนวน 1,440,000 บาท ไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อโจทก์จะได้บังคับคดีเอากับเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
วันที่ 18 สิงหาคม 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.14700/2552
วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 120,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2553 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินจำนวน 1,440,000 บาท ที่จำเลยมาวางต่อศาลเพื่อเป็นประกันหนี้ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับเงิน โดยวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเก็บรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาไว้ในคำพิพากษาว่า “…ให้คำสั่งดังกล่าวเป็นอันยกเลิกไปเมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษานี้…” ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่อย่างใดโจทก์จึงชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีต่อไป โดยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2545 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ดังนั้น วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นอันสิ้นผลไปตามที่ศาลชั้นต้นได้กล่าวถึงไว้ในคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2545 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นขออายัดเงิน จำนวน 1,440,000 บาท ที่จำเลยมาวางต่อศาลชั้นต้น โดยศาลชั้นต้นได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2546 แต่เหตุที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้รับเงินไปก็เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นเงินที่จำเลยได้นำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงไม่จำต้องทำการยึดหรืออายัดอีกและเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุดยังไม่เห็นควรให้นำไปชำระหนี้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด…” ซึ่งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจบังคับคดีเอาแก่เงินจำนวนดังกล่าวได้ในทันที ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ที่ถูกต้องศาลชั้นต้นจะต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปตามหนังสือขออายัดซึ่งมีผลเท่ากับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง อย่างช้าสุดนับแต่วันที่ 10 มกราคม 2546 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นได้รับหนังสืออายัด ทั้งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 บัญญัติว่า “คำสั่งของศาลที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว หรือหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น จะใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไม่ได้ เว้นแต่การบังคับคดีนั้นสำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์” และตามวรรคสองของบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “การบังคับคดีนั้น ให้ถือว่าสำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง” เมื่อถือว่าการอายัดเงิน 1,440,000 บาท นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2546 เจ้าหนี้อื่นมีสิทธิยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคห้า ได้ภายในวันที่ 24 มกราคม 2546 จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดวันที่ 18 สิงหาคม 2552 การบังคับคดีจึงสำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วย่อมใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ แม้คดีนี้ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2548 โจทก์จะมีการยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อโจทก์จะได้บังคับเอากับเงินจำนวนดังกล่าวและศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของโจทก์ ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมต้องเสียไป ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246, 247 ส่วนปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของโจทก์ และคำแก้ฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จ่ายเงินจำนวน 1,440,000 บาท ให้แก่โจทก์ ตามคำแถลงขอรับเงินลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2553 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share