คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหักเงินจากบัญชีของโจทก์ในฐานะจำเลยเป็นตัวแทนของธนาคาร ทั้งที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์และหักเงินจากบัญชีของโจทก์โดยธนาคารไม่ทราบเรื่อง และอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ต้องสูญเสียเงิน และฝ่ายได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้เถียงว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อน แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ทั้งโจทก์อุทธรณ์ด้วยว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายนั้นไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาด้วยแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83และให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความจนจบคำถามของทนายโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์ที่เหลือและพยานจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาล 7,300 บาท แก่โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนอาญา เนื่องจากอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ของศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้นเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามสำหรับคดีนี้ และคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งทั้งโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาด้วย ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนอาญา ซึ่งมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งด้วย นั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ในฐานะตัวแทนของธนาคารที่จำเลยเป็นผู้จัดการ ทั้งที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจะจัดการทำสัญญาประกันภัยและจะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์นำไปชำระเป็นค่าเบี้ยประกันโดยธนาคารไม่ทราบเรื่อง และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยคือธนาคาร แม้จำเลยมิได้นำเงินไปชำระแก่บริษัทประกันภัย โจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายนั้นโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ต้องสูญเสียเงินของโจทก์ไปถึง 300,000 บาทและฝ้ายของโจทก์ยังต้องเสียหายโดยไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยอีกด้วย เห็นได้ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นอุทธรณ์โต้เถียงว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย และการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 มิได้บัญญัติว่าจะต้องโต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ทั้งโจทก์อุทธรณ์ด้วยว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าอุทธรณ์คำพิพากษาด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่

Share