แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิในค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือก7เกวียน45ถังเหนือข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องตั้งมาจึงมีเพียงประเด็นเดียวว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกจำนวน7เกวียน45ถังหรือไม่เท่านั้นที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องในฐานะผู้ให้เช่ายังไม่ได้รับชำระข้าวเปลือกเป็นค่าเช่านาไปจากจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามป.วิ.พ.มาตรา249. คำให้การของโจทก์ที่คัดค้านคำร้องของผู้ร้องว่าโจทก์ทราบว่าผู้ร้องได้ตวงข้าวเปลือกทำเป็นค่าเช่านาไปแล้วไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงจึงเคลือบคลุม โจทก์เพียงแต่นำยึดข้าวเปลือกของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษายังไม่ได้ดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์ดังกล่าวแต่อย่างใดดังนั้นหากผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกที่ยึดไว้อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้นการนำยึดข้าวเปลือกไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาของโจทก์ไม่มีผลทำให้บุริมสิทธิของผู้ร้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคดีถึงที่สุดหากมีการดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์นั้นผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์ดังกล่าวได้ตามป.วิ.พ.มาตรา287ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิขอคืนข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดไว้.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้และยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยึดทรัพย์จำเลยไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดข้าวเปลือกจำนวน 15 เกวียนของจำเลยไว้ก่อนมีคำพิพากษาโจทก์จึงได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดข้าวเปลือกของจำเลยไว้จำนวน 8 เกวียน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าจำเลยเช่าที่ดินจากผู้ร้องทำนา ค่าเช่าไร่ละ 10 ถังต่อปี รวมค่าเช่าที่จำเลยต้องชำระ 7 เกวียน 45 ถังข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดเป็นผลผลิตจากนาที่จำเลยเช่าทำนาผู้ร้องจึงมีบุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 51 ขอให้ศาลสั่งคืนข้าวเปลือกดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจร้อง และโจทก์ทราบจากผู้มีชื่อว่าผู้ร้องและบริวารได้ตวงข้าวเปลือกจากจำเลยหักเป็นค่าเช่านาไปแล้ว ข้าวเปลือกที่เหลือเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า แม้การเช่าระหว่างผู้ร้องและจำเลยจะไม่มีหนังสือสัญญาเช่า ผู้ร้องก็ฟ้องบังคับเอาค่าเช่าได้ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 5 และฟังว่าผู้ร้องฝากจำเลยขายข้าวเปลือกอันเป็นค่าเช่านาแทนผู้ร้องก่อนโจทก์นำยึดข้าวเปลือก ผู้ร้องจึงมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกของจำเลย มีคำสั่งให้คืนข้าวเปลือก 7 เกวียน 45 ถังให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้รับชำระข้าวเปลือกเป็นค่าเช่าจากจำเลยไปแล้ว พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความว่า เนื่องจากโจทก์ขอยึดทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวก่อนคำพิพากษา โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดข้าวเปลือกจำนวน 8 เกวียน ผู้ร้องจึงร้องขอให้คืนข้าวเปลือก 7เกวียน 45 ถังแก่ผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้องมุ่งประสงค์ร้องขัดทรัพย์ที่ยึดชั่วคราวดังกล่าวว่าข้าวเปลือกที่ยึดไม่ใช่ของจำเลย แต่กลับปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิในค่าเช่านาเหนือข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึด จึงมีผลเท่ากับผู้ร้องตั้งประเด็นแห่งคดีมาเพียงประเด็นเดียวว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกจำนวน 7 เกวียน 45 ถัง ตามที่ผู้ร้องอ้าง แม้ชั้นไต่สวนคำร้องผู้ร้องจะนำสืบว่าเป็นเรื่องผู้ร้องฝากข้าวเปลือกจำนวนดังกล่าวซึ่งเท่ากับค่าเช่านาไว้กับจำเลย ข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดจะเป็นของผู้ร้องก็ตาม ก็ไม่ทำให้ประเด็นที่ผู้ร้องตั้งมาเปลี่ยนแปลงไปส่วนที่โจทก์ให้การโต้แย้งเป็นทำนองว่า ผู้ร้องได้ตวงข้าวเปลือกเป็นค่าเช่านาไปจากจำเลยแล้ว ก็ปรากฏว่า โจทก์ให้การแต่เพียงว่าโจทก์ทราบว่าผู้ร้องได้ตวงข้าวเปลือกทำเป็นค่าเช่านาไปแล้ว คำให้การของโจทก์ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว คำให้การในส่วนนี้ จึงเคลือบคลุม ประเด็นแห่งคดี จึงคงมีเพียงว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกจำนวน 7 เกวียน 45 ถังหรือไม่เท่านั้น ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องในฐานะผู้ให้เช่ายังไม่ได้รับชำระข้าวเปลือกเป็นค่าเช่านาไปจากจำเลย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในปัญหานี้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องในฐานะผู้ให้เช่าที่ดินพิพาท จึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 51ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ค่าเช่านาได้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ เห็นว่า ในชั้นนี้โจทก์เพียงนำยึดข้าวเปลือกของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษา โจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์ดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้ร้องอ้างว่ามีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกที่ยึดไว้นั้นบุริมสิทธิของผู้ร้องมีอยู่อย่างไร ก็คงมีอยู่อย่างนั้น การนำยึดข้าวเปลือกไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาของโจทก์หาได้มีผลทำให้บุริมสิทธิของผู้ร้องเหนือข้าวเปลือกเปลี่ยนแปลงไปไม่หากมีการดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์นั้น เมื่อคดีถึงที่สุด ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์ดังกล่าาวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ดังนั้นในชั้นนี้ผู้ร้องหามีความจำเป็นจะอ้างบุริมสิทธิตามคำร้องไม่ ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิจะขอคืนข้าวเปลือกจำนวน 7 เกวียน 45 ถัง ตามคำร้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ.”