แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การของจำเลยมีความว่า จำเลยไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ไม่เคยมีมูลหนี้กับโจทก์และนางสาวศิริพร การซื้อขายแหวนเพชรระหว่างโจทก์กับนางสาวศิริพรเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและใช้สิทธิไม่สุจริต พอถือได้ว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์คบคิดกับนางสาวศิริพรฉ้อฉลจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จำหน่ายแหวนเพชรให้แก่นางสาวศิริพร นางสาวศิริพรชำระหนี้ด้วยเช็คซึ่งจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินสดหรือให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเข้าบัญชีของนายอาง้วนเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง จำเลยไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ ไม่เคยมีมูลหนี้กับโจทก์และนางสาวศิริพร การซื้อขายแหวนเพชรระหว่างโจทก์กับนางสาวศิริพรเป็นเรื่องเท็จ จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องชำระหนี้แก่นายเวช ต่อมานายเวชแจ้งว่าเช็คถูกลักไป จึงจัดการอายัดเช็ค ต่อมามีการนำเช็คไปเรียกเก็บเงินทางบัญชีของนายอาง้วน นายเวชนำตำรวจไปพบนายอาง้วนว่ารับของโจรเช็ค นายอาง้วนกับนายชาติชายบอกว่าได้รับเช็คจากนางสาวศิริพร ขอร้องอย่าดำเนินคดีและรับว่าจะไม่นำเช็คมาฟ้องจำเลย จำเลยจึงชำระหนี้ให้นายเวชไป โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และใช้สิทธิไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การมีความว่า จำเลยไม่เคยรู้จักไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ ไม่เคยมีมูลหนี้กับโจทก์และนางสาวศิริพร การซื้อขายแหวนเพชรระหว่างโจทก์กับนางสาวศิริพรเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริงโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและใช้สิทธิไม่สุจริต ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การดังกล่าวพอถือได้ว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์คบคิดกับนางสาวศิริพรฉ้อฉลจำเลย ซึ่งก็รวมอยู่ในประเด็นข้อ ๑ ที่ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบหรือไม่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น