คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขายที่ดินในกรณีใดจะถือว่าเป็นทางค้าหากำไร ต้องพิจารณาจากกิจการเป็นราย ๆ ไปว่ามีพฤติการณ์เช่นนั้นหรือไม่
พฤติการณ์ที่แสดงว่าได้ดำเนินกิจการในลักษณะเป็น “การค้า” ตามประมวลรัษฎากร
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการค้าที่มีสถานการค้า ฯลฯ มีหน้าที่เสียภาษีการค้านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการค้าจะต้องเป็นเจ้าของสถานการค้าเอง เมื่อปรากฏว่าผู้ประกอบการค้าได้ใช้สถานการค้าใดดำเนินการค้าของ+ได้ ประมวลรัษฎากรก็ถือว่าผู้ประกอบการค้านั้นมีสถานการค้า และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับโอนที่ดินจากผู้มีชื่อมาเพื่อเป็นการชำระหนี้ ต่อมาโจทก์ต้องการขายแต่หาผู้ซื้อไม่ได้ เพราะเนื้อที่ดินมาก ต้องใช้เงินมาก โจทก์จึงแบ่งแยกดินขายเป็นแปลงย่อย ๆ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งให้โจทก์เสียภาษีการค้าโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการฯ วินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานถูกต้องแล้ว โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าที่ดิน ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน กับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้มีอาชีพในทางการค้า โดยโจทก์ด้ซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อ แล้วมาลงทุนแบ่งแยกโฉนดเป็น
แปลงเล็ก ตัดถนนในบริเวณและบอกขายได้กำไรมากมาย เข้าลักษณะเป็นการค้าจึงต้องเสียภาษีการค้า
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อด้วยเงินสดตามที่ปรากฏในสัญญาซื้อขาย ไม่ใช่เรื่องผู้มีชื่อดีใช้หนี้เงินกู้ และเห็นว่าการขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์จะเข้าลักษณะเป็นการค้าต่อเมื่อการขายนั้นเป็นทางค้าหากำไร อย่างไรจึงจะถือว่าการขายที่ดินเป็นทางค้าหากำไร ต้องพิจารณาจากกิจการเป็นราย ๆ ไป ว่ามีพฤติการณ์เป็นทางค้าหากำไรหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ซื้อที่ดิน ๔ แปลง เนื้อที่ ๙๐ ไร่เศษ แล้วได้จัดการให้ทำผังแบ่งที่ดินและทำการแบ่งแยกโฉนดเป็น ๕๘ โฉนด แล้วลงทุนทำถนนลาดยางเข้าถึงที่ดินทุกแปลง และขายที่ดินเหล่านั้นไปได้เงินเกินกว่าที่ลงทุนหลายล้านบาท โจทก์ได้ขายที่ดินนี้ไปก่อนโดยมีข้อสัญญาจะปรับปรุงที่ดินตัดถนนผ่านที่ดินที่ขายทุกแปลง ซึ่งมีลักษณะเป็นการจัดสรรที่ดิน พฤติการณ์ที่โจทก์ดำเนินกิจการตั้งแต่ต้นจนได้รับเงินค่าขายที่ดินเป็นการซื้อที่ดินมาจัดสรรขายหากำไร เข้าลักษณะเป็นการค้าตามประมวลรัษฎากรแล้ว แม้โจทก์จะมีอาชีพอื่นอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อมาประกอบการหรือดำเนินกิจการซึ่งเข้าลักษณะเป็นการค้าตามประมวลรัษฎากรแล้ว ก็ถือว่าเป็นผู้ประกอบการค้า และโจทก์รับว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่จัดสรรนี้ส่วนมากทำที่บริษัทเอเชียทรัสต์ซึงโจทก์ทำงานอยู่ในฐานะผู้จัดการ บริษัทเอเชียทรัสต์จดทะเบียนการค้า มีค่ารายปีเกินกว่า ๑๒๐ บาท โจทก์ใช้สถานที่บริษัทเเอเชียทรัสต์ดำเนินการทั้งการทำสัญญาและรับเงินราคา ถือว่าโจทก์มีสถานการค้าในการดำเนินการค้าที่ดินรายนี้แล้ว แม้โจทก์จะอ้างว่าได้มีการทำสัญญาที่อื่นด้วย ก็เป็นเรื่องโจทก์ใช้สถานที่ดำเนินการค้าหลายแห่ง เมื่อบริษัทเอเชียทรัสต์แห่งหนึ่งในจำนวนสถานที่ที่โจทก์ใช้ดำเนินการค้ามีค่ารายปีเกิน ๑๒๐ บาท ก็เข้าลักษณะที่ผู้ประกอบการค้าจะต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๗๙ แห่งประมวลรัษฎากร (ตามที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.๒๔๙๖ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นได้บัญญัติให้เพิ่มไว้) โจทก์เป็นผู้จัดการบริษัทมีอำนาจปกครองดูแลสถานที่นั้นและโจทก์ใช้สถานที่นั้นดำเนินการค้าของโจทก์ได้ ประมวลรัษฎากรถือว่าโจทก์มีสถานการค้า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share