คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2484

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาร่วมทุนกันไปซื้อที่ดินเพื่อมาแบ่งกัน เมื่อคนหนึ่งไปจัดการซื้อและรับโอนโฉนดมาแล้วไม่ยอมโอนแบ่งให้อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องขอแบ่งได้ สัญญาเข้าทุนกันไปซื้อทรัพย์มาแบ่งกันโดยไม่ประสงค์แบ่งกำไรนั้น ไม่ใช่สัญญาเข้าหุ้นส่วน การทำสัญญากันนั้นแม้ไม่เข้าลักษณะเอกเทศสัญญาก็ฟ้องร้องบังคับกันได้ตามหลักทั่วไปในบรรพ 1-2 ในคดีแพ่งโจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทกฎหมายเสมอไป
กรณีที่ถือว่าฟ้องของโจทก์กล่าวความครบถ้วนตามที่ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.172 บังคับไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันซื้อที่ดิน ๓ โฉนด จำเลยเป็นผู้ไปจัดการซื้อและรับโอนโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วนำโฉนดมาให้โจทก์ยึดถือ ต่อมาจำเลยได้เอาโฉนดไปแบ่งแยกส่วนของจำเลยตามข้อตกลง ส่วนที่ดินนอกนั้นซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ จำเลยไม่จัดการโอนให้โจทก์ กลับจะแบ่งเอาครึ่งหนึ่ง โจทก์จึงมาฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามฟ้อง แต่ให้โจทก์เสียค่าที่ดินส่วนที่ตกลงกันให้แก่จำเลยอีก ๒๙ บาท ๑๑ สตางค์ก่อน
ศาลอุทธรณ์พิพากยืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งฟ้องของโจทก์ไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตราในกฎหมายเสมอไป ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไม่เข้าเอกเทศสัญญาในบรรพ ๓ จึงไม่มีทางอ้างเอกเทศสัญญามาเป็นฐานฟ้องในแบบคำฟ้องซึ่งระบุข้อหาหรือฐานความผิดโจทก์ระบุว่า ขอให้บังคับโอนที่ดินนั้น เป็นข้อความย่อจากคำบรรยายและคำขอท้ายฟ้องไม่ใช่ระบุชื่อเอกเทศสัญญา ในประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ ซึ่งบัญญัติว่าคำฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น”คดีฟ้องของโจทก์บรรยายถึงข้อตกลงนั้น เป็นการบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหา ฟ้องที่ระบุว่าจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินตามข้อตกลง เป็นหลักแห่งข้อหาคำขอให้บังคับโอนที่ดินเป็นคำขอบังคับ ฟ้องจึงถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนความผูกพันระหว่างโจทก์ จำเลยนั้นได้ทำสัญญากันอันมีนิติสัมพันธ์ระหว่างกันตามประมวลแพ่ง ฯมาตรา ๑๑๒ และต้องบังคับตามผลแห่งหนี้ทั่วไปตามมาตรา ๑๙๔ ส่วนในฟ้องที่พูดถึงหุ้นส่วนหลายแห่งนั้น ไม่ทำให้เป็นฟ้องในลักษณะเอกเทศสัญญา เพราะคำบรรยายฟ้องไม่มีลักษณะเป็นหุ้นส่วนตามกฎหมายจึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share