แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญากู้ระบุให้ตกลงคิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนอัตราดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้เงินกู้รวมดอกเบี้ยและรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเงินจำนวน 104,420 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 77,200 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญากู้แล้วหรือยัง จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน เพราะไม่มีรายละเอียดระบุในเอกสารว่าจำเลยที่ 2ค้ำประกันการกู้เงินของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับเงินจำนวน 77,200 บาท จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์เพียง 30,000 บาทและโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ซึ่งเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2ชดใช้แทน
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน48,000 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์หรือไม่ ข้อนี้ปรากฏชัดจากสัญญากู้เอกสารหมาย จ.6ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าตกลงคิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 1.5ต่อเดือนซึ่งเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 654 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามสัญญา คงต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี จากต้นเงิน 48,000 บาท ที่ค้างชำระระหว่างผิดนัดเท่านั้น…”
พิพากษายืน.