คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับ ส.ท.ภ. และ ล. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ส.ครบกำหนดแล้วส. ฟ้องขับไล่จำเลยดังนี้ เป็นเรื่องที่ ส. เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356,1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือเจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องให้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคน จึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทนเมื่อ ส. ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้วและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีที่ ส. ฟ้องนั้นอีกจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนนี้ จำเลยมิได้ฎีกา แต่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางสุพรรณ คนซื่อ นายทิพเจริญ นางสาวสุภารัตน์ เด็กหญิงลดาวัลย์ ตุงโสภา เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามโฉนดที่ 87 จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากนางสุพรรณ คนซื่อ มีกำหนด 10 ปี เพื่อปลูกสร้างอาคาร ครบกำหนดตามสัญญาเช่า นางสุพรรณฟ้องขับไล่จำเลยตามคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ 93/2514 ขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากนางสุพรรณ ต่อมานางสุพรรณ คนซื่อ โดยโจทก์และน้อง ๆ เชิดให้เป็นตัวแทนได้ตกลงยืดระยะเวลาการเช่าออกไปอีก 6 ปี โดยให้จำเลยต่อเติมห้องแถวในที่เช่าเป็นสองชั้น จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ นางสุพรรณ คนซื่อ นายทิพเจริญ นางสาวสุภารัตน์ เด็กหญิงลดาวัลย์ ตุงโสภา มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องร่วมกัน จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากนางสุพรรณ มีกำหนด 10 ปี เพื่อปลูกสร้างอาคาร ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วนางสุพรรณฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินตามคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ 93/2514 ระหว่างที่คดีนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกคดีหนึ่ง ขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีก่อน

ในปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องนางสุพรรณ คนซื่อ เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356, 1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือ เจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องให้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคนจึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทน เมื่อนางสุพรรณ คนซื่อ เจ้าของรวมคนหนึ่งฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งนำคดีนี้ซึ่งเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกับคดีที่นาง สุพรรณ คนซื่อ ได้ฟ้องไว้แล้วและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณามาฟ้องอีก จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อ้างวินิจฉัยคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share