คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม. หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ. หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์. โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม.
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว. เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหายถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ. ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น. โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์.จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม. แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1). และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้น. ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม. มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา179(2).

ย่อยาว

โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถา โดยฟ้องว่า จำเลยที่ 1เป็นธนาคารพาณิชย์ ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดพระนคร จำเลยที่ 2เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดตรัง และจำเลยที่ 3เป็นสมุหบัญชี จำเลยได้ออกตั๋วแลกเงินให้โจทก์ 3 ฉบับ ฉบับแรกเลขที่65/1250 จำนวนเงิน 6,460 บาท โจทก์ได้มอบเช็คในบัญชีของนายมานิตย์โชติพิมล เลขที่ เค.0343109 เงิน 6,460 บาทให้เป็นการชำระหนี้ลงวันที่สั่งจ่ายล่วงหน้าห่างวันตั๋วแลกเงินถึงกำหนดจ่าย 15 วันจำเลยคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ตามประเพณีธนาคารต่อมาจำเลยที่ 1โดยรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 2-3 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เรียกเงินตามตั๋วแลกเงินฉบับแรกดังกล่าวจำนวน 6,460 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยอ้างว่าโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้โจทก์ต่อสู้ว่า ได้ชำระหนี้โดยเช็คของนายมานิตย์แล้ว เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดี ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายและถูกยึดทรัพย์ ต่อมาจำเลยได้นำสมุดโลคอลบิลล์บุ๊คแสดงต่อศาล โจทก์จึงได้เห็นความจริงว่า โจทก์ได้ชำระหนี้รายที่โจทก์ถูกฟ้องนั้นจริง แต่ปรากฏว่าได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงขีดฆ่าเอกสารเสียจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องแพ้คดี การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกันจงใจละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือ โจทก์ถูกยึดทรัพย์บังคับคดีในกรณีที่จำเลยที่ 1-2 ฟ้องโจทก์เรียกเงินดังกล่าว คืออาคารโรงเรือนราคา 50,000 บาท โรงรถซึ่งเสียค่าก่อสร้าง 5,000 บาทที่ตัวอาคารมีห้องน้ำส้วมซึ่งเสียค่าก่อสร้าง 5,000 บาท มีบ่อน้ำซึ่งเสียค่าก่อสร้าง 5,000 บาท และอาคารโรงเรือนนี้โจทก์เช่าที่ดินนายสุทธิเป็นรายเดือน ๆ ละ 700 บาท ถูกยึดมา 20 เดือน คิดเป็นเงิน8,050 บาท ในการเช่าที่ดิน โจทก์ต้องเสียค่าปราบที่ถมดิน 10,000 บาทโจทก์มีอาชีพจำหน่ายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีคนงาน 10 คน โจทก์ได้รายได้จากคนงานเหล่านี้เพิ่มขึ้นเป็นเงิน 90,000 บาท โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนั้น 4,000 บาท และโจทก์ขอคิดค่าเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง 200,000 บาทอีกด้วย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น377,050 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้พร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นสอบถาม โจทก์แถลงว่า คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องไม่จำเป็นที่จะไต่สวนคำร้องขออนาถาของโจทก์ ให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยละเมิดอย่างไร เป็นฟ้องที่ไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่า คดีของโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้อง ที่สมควรจะอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา จึงให้ยกคำร้องของโจทก์ ถ้าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน โจทก์ฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ เพราะเห็นว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา156 วรรคท้าย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอลดจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมลงเหลือ 6,460 บาท และขอเพิ่มเติมฟ้องเดิมว่า “จำเลยได้กระทำเองหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำ ทำลายหลักฐานการชำระหนี้ของโจทก์ โดยเอาหมึกสีดำป้ายปิดทับรายการเช็คของโจทก์ในโลคอลบิลล์บุ๊คเสีย แล้วยักยอกเช็คราคา 6,460 บาท ที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น ซึ่งจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์” กับขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้อง โดยขอถอนคำขอข้อ 1,2 (ซึ่งขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย) และเพิ่มเติมว่า “1. ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็ค 6,460 บาทให้โจทก์”กับโจทก์ขอนำค่าธรรมเนียมมาชำระในทุนทรัพย์ 6,460 บาทพร้อมคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องเดิมไม่ได้เรียกร้องเงินจำนวนนี้ไว้ จึงไม่เกี่ยวพันกับคำฟ้องเดิม และโจทก์ยื่นขอลดทุนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงคำสั่งศาลอุทธรณ์ จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้องเสีย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา179(1) (2) โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องของตนได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม ฯลฯ ตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ 377,050 บาท เป็นค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงิน 6,460 บาทตามตั๋วแลกเงินซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้รายนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของนายมานิตย์ไปแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหายถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและต้องเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 377,050 บาทส่วนตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมนี้ มีใจความว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน 377,050 บาท ในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค 6,460 บาทซึ่งโจทก์ได้ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คราคา 6,460 บาทที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่นอันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่า จำนวนทุนทรัพย์ 6,460 บาทในคำร้องที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมหาได้รวมอยู่ในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทน 377,050 บาทที่โจทก์เรียกร้องในฟ้องเดิมไม่ แต่เป็นเงินค่าเช็คที่โจทก์ตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่มิได้เกี่ยวข้องกับจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทเดิมอย่างใดเลย การขอแก้ไขจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1) ทั้งการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็ค 6,460 บาท ขอให้จำเลยใช้ค่าเช็คจำนวนนี้ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่ เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิมซึ่งโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยฟ้องโจทก์เป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายทั้งหมด มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อหรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(2) การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้ ศาลล่างให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว พิพากษายืน.

Share