คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9655/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ผ่อนเวลาการส่งมอบของตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดังนั้นการที่จำเลยที่1ไม่ได้ส่งมอบของตามสัญญาในระยะเวลาที่ยังไม่ล่วงเลยวันที่ได้ผ่อนเวลาออกไปย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาโจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระค่าปรับตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายข้อ10วรรคหนึ่งที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่1ชำระค่าปรับจึงไม่มีผลเป็นการเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระค่าปรับต่อมาเมื่อจำเลยที่1แล้วอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาซื้อขายข้อ9โดยไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระค่าปรับตามที่ระบุไว้ในข้อ10วรรคหนึ่งของสัญญาดังกล่าวและเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ9แล้วโจทก์ย่่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระค่่าปรับตามสัญญาข้อ10วรรคหนึ่งอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2532 โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อยางแอสฟัลต์ อิมัลชั่น ชนิด ซีอาร์ เอส-2 จำนวน 205.6เมตริกตัน รวมราคาทั้งสิ้น 1,353,872 บาท กับจำเลยที่ 1 โดยกำหนดการส่งมอบไว้ด้วย หากไม่สามารถส่งมอบสิ่งของได้หรือส่งมอบไม่ถูกต้องครบถ้วนในกำหนดยอมให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน กับเรียกให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นในกรณีที่ต้องซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นได้ แต่ในกรณีที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่่ยังไม่ได้ส่งมอบนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ส่งมอบสิ่งของถูกต้องครบถ้วน เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนเข้าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 67,693.60 บาท แต่จำเลยที่ 1ไม่ได้ส่งมอบยางแอสฟัลต์ ให้แก่โจทก์เมื่อถึงกำหนดเวลาตามสัญญาโดยขอเลื่อนการส่งมอบ แต่หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งมอบเลยโจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 และได้ทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลต์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากับบริษัททิปโก้แอสฟัลท์จำกัด ในราคา 1,808,400 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิริบหลักประกันจำนวน 67,693.60 บาท รวมทั้งเรียกให้จำเลยที่ 1ใช้ราคายางแอสฟัลต์ ที่ซื้อในราคาสูงขึ้นจำนวน 454,528 บาท กับค่าปรับเป็นรายวันจำนวน 825,839.04 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,348,060.64 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 67,693.60 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2534 รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 1,578,477.72 บาท จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดจำนวน 82,050.29 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,579,477.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,348,060.64 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ร่่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 82,050.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 67,693.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนก่วาจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างมิได้ถือข้อความแห่งสัญญาซื้อขายเรื่องกำหนดระยะเวลาส่งมอบและการปรับตามสัญญาข้อ 9 และข้อ 10 เป็นข้อสาระสำคัญโดยเคร่งครัด โจทก์ยอมผ่อนระยะเวลาส่งมอบสินค้าให้ภายหลังจากครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาแล้ว อีกทั้งไม่เคยแสดงเจตนาปรับจำเลยที่ 1 ตามสัญญามาก่อน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 ได้ กรณีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสินค้าตามสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาสินค้าที่ซื้อจากบุคคลอื่นสูงขึ้นกับริบหลักประกันเท่านั้นไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจำนวน 825,839.04 บาทและเบี้ยปรับสูงเกินควร เพราะยางแอสฟัลต์ที่จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบมีราคาเพียง 1,354,872 บาท เมื่อรวมเบี้ยปรับจำนวนดังกล่าวกับเงินค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 วางไว้แก่โจทก์จำนวน 67,693.60 บาท และโจทก์ขอรับไว้จึงเกินความเสียหายของโจทก์ จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดในค่ายางแอสฟัลต์ที่สูงขึ้นจำนวน 454,528 บาท เพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อและราคาสูงเกินจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาเนื่องจากโจทก์ขยายระยะเวลาในการส่งมอบสินค้าตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 เรื่อยมาจึงเป็นการไม่ถือระยะเวลาส่งมอบเป็นสาระสำคัญ และต้องกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ก่อน หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามจึงจะบอกเลิกสัญญาได้การที่จำเลยที่ 1 สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้แต่โจทก์กลับใช้สิทธิเลิกสัญญาทันทีจึงเป็นการไม่ชอบ อีกทั้งการที่โจทก์ยินยอมผ่อนระยะเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 531,186.14 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 522,221.60 บาทนับแต่วันที่ 6 มกราคม 2537 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 82,050 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน67,693.60 บาท นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากที่กล่าวให้ยก
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ 1 ที่ไม่ส่งมอบของภายในกำหนดเวลาตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.10 วรรคท้าย และโจทก์ได้แจ้งการปรับตามสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.17 และ จ.18 จำเลยที่ 1จึงต้องชำระค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้ผ่อนเวลาการส่งมอบของตามที่กำหนดไว้ในสัญญาคือวันที่ 21 มกราคม 2533 ไปเป็นวันที่ 19 กรกฎาคม2533 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งมอบของตามสัญญาในระยะเวลาที่ยังไม่ล่วงเลยวันที่ 19 กรกฎาคม 2533 ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ผิดสัญญา โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับตามข้อความที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 10 วรรคหนึ่งที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 6 มกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2533 ตามเอกสารหมาย จ.17และ จ.18 แจ้งให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับ จึงไม่มีผลเป็นการเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับ เพราะโจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับเนื่องจากจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ผิดสัญญาต่อมาเมื่อจำเลยที่่ 1 ไม่ส่งมอบของให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 19กรกฎาคม 2533 และโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 โดยหนังสือลงวันที่20 กันยายน 2533 ตามเอกสารหมาย จ.24 อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 9 โดยไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับตามที่ระบุไว้ในข้อ 10 วรรคหนึ่ง ของสัญญาดังกล่าวและเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 แล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับตามสัญญาข้อ 10 วรรคหนึ่งอีก
พิพากษายืน

Share