แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 ทำประกันไว้ต่อโจทก์คืน เป็นเพราะโจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุว่า เมื่อเช็คชำระหนี้จำนวนเงิน 4,000,000บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกชำระหนี้ให้โจทก์ถึงกำหนดชำระให้โจทก์นำเช็คพร้อมหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 ไปเปลี่ยนเป็นแคชเชียร์เช็คของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ถูกจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงขอรับหนังสือค้ำประกันไป แต่ไม่ได้มอบแคชเชียร์เช็คให้ตามข้อตกลง หาใช่เป็นการที่โจทก์ปลดหนี้ค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3ด้วยการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ไม่ แม้จำเลยที่ 3จะไม่ได้รู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลอกลวงโจทก์ตลอดจนถึงข้อตกลงให้ไปแลกแคชเชียร์เช็คก็ตาม หาใช่เป็นการที่โจทก์แสดงเจตนาต่อจำเลยที่ 3 ว่าจะปลดหนี้ให้ หนี้ของจำเลยที่ 1ยังมิได้ระงับสิ้นไป จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยในวงเงินไม่เกิน4,000,000 บาท แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน4,891,349.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 3,365,413.57 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ค้ำประกันว่าจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ภายในวงเงิน 4,000,000 บาท จริง แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์แสดงเจตนาปลดหนี้ค้ำประกันด้วยการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3 แล้วหนี้ค้ำประกันที่จำเลยที่ 3 มีต่อโจทก์จึงเป็นอันระงับไปขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์จำนวน3,460,567.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 3,365,413.57 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2527เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยหักเงินจำนวน 50,000 บาทที่ชำระไว้แล้วออกจากดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย แต่ทั้งนี้ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในวงเงินไม่เกิน 6,000,000 บาท และให้จำเลยที่ 3 รับผิดในวงเงินไม่เกิน 4,000,000 บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันหรือไม่จำเลยที่ 3 อ้างว่าจำเลยที่ 3 ได้รับการเวนคืนหนังสือค้ำประกันมาแล้วถือว่าเป็นการปลดหนี้ค้ำประกันแก่จำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าว เห็นว่าโจทก์นำสืบฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 ทำประกันไว้ต่อโจทก์คืนนั้นเป็นเพราะโจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุว่า เมื่อเช็คชำระหนี้จำนวนเงิน 4,000,000 บาทตามเช็คเอกสารหมาย จ.6 ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกชำระหนี้ให้โจทก์ถึงกำหนดชำระ ให้โจทก์นำเช็คพร้อมหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3ไปเปลี่ยนเป็นแคชเชียร์เช็คของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ถูกจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงขอรับหนังสือค้ำประกันไป แต่ไม่ได้มอบแคชเชียร์เช็คให้ตามข้อตกลงซึ่งโจทก์เมื่อไม่ได้รับแคชเชียร์เช็คได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ จำเลยทั้งสามไม่ชำระโดยจำเลยที่ 3 อ้างว่าจำเลยที่ 3 ได้รับเวนคืนหนังสือค้ำประกันแล้ว จึงไม่ผูกพันที่จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์การที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันคืน จึงเนื่องจากโจทก์ถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลอกลวงเอาไปคืนให้แก่จำเลยที่ 3 หาใช่เป็นการที่โจทก์ปลดหนี้ค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3 ด้วยการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ไม่ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3ไม่ได้รู้เห็นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หลอกลวงโจทก์และข้อตกลงให้ไปแลกแคชเชียร์เช็ค แสดงว่าทั้งคู่มีเจตนาปลดหนี้ภาระค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า การที่โจทก์มอบหนังสือค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เพราะโจทก์คิดว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2จะมอบแคชเชียร์เช็คให้โจทก์ มิฉะนั้นโจทก์คงจะไม่คืนสัญญาค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน