คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยและผู้ร้องขัดทรัพย์จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงมิให้โจทก์และผู้ร้องสอด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยนั้นเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตการกระทำดังกล่าวจึงไม่มีผลทำให้เรือนพิพาทซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์แต่ผู้เดียวตามที่สมยอมกันผู้ร้องขัดทรัพย์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยเรือนพิพาทจากการยึด

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์จดทะเบียนสมรสอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน เรือนพิพาทที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2517 จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์จดทะเบียนหย่ากันและได้ทำบันทึกกันไว้ให้เรือนพิพาทได้แก่ผู้ร้องขัดทรัพย์

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ว่า จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันโดยสุจริต มีผลให้เรือนพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์หรือไม่

พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องขัดทรัพย์ว่าเมื่อหย่ากันแล้วจำเลยก็มิได้ย้ายไปจากเรือนพิพาท เพิ่งย้ายออกไปก่อนที่เจ้าพนักงานจะไปยึดทรัพย์ และในขณะเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์จำเลยก็อยู่ที่เรือนพิพาท ทั้งปรากฏในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 264/2518 ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอันเป็นคดีที่จำเลยถูกฟ้องและเกิดเป็นสาขาคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2517เจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่เรือนพิพาท จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2517 ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2517 และวันที่ 13 สิงหาคม 2517 จำเลยก็ระบุในคำคู่ความนั้น ๆ ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 2 ตำบลบางพระครูอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรือนพิพาทในคดีนี้ทั้งสิ้นโจทก์และผู้ร้องสอดที่ 2 ที่ 3 อ้างนางสาหร่าย สงเคราะห์ธรรม นายผันอินทประดิษฐ์ ผู้ใหญ่บ้าน นายเติม ภุมรินทร์ กำนัน นายจอก เมฆขำและนางน้อย แสงเพ็ชร์ เข้าสืบว่า จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ยังอยู่ร่วมกันที่เรือนพิพาทและทำนาร่วมกันตลอดมา เห็นว่าพยานผู้ร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวมาเจือสมพยานโจทก์และผู้ร้องสอดที่ 2 ที่ 3 ทำให้พยานโจทก์และผู้ร้องสอดที่ 2 ที่ 3 มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า แม้ได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ผู้ร้องขัดทรัพย์กับจำเลยคงอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตลอดมา ความดังกล่าวนี้เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุที่ผู้ร้องขัดทรัพย์กับจำเลยจะหย่ากันตามคำเบิกความของนายอุทัย สังขมณี ปลัดอำเภอ ที่ว่าผู้ร้องขัดทรัพย์กับจำเลยแจ้งว่าทะเลาะกันและตามคำสิบตำรวจเอกบุญล้ำ ชมแก้ว ว่าเพราะจำเลยชอบเสพสุรา เล่นการพนัน และทุบตีผู้ร้องขัดทรัพย์ โดยจำเลยกระทำการดังกล่าวมานี้ก่อนหย่า 2-3 ปี ซึ่งเห็นได้ว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภรรยากันมาเกือบ 30 ปีมีบุตรด้วยกันถึง 10 คน จะตกลงหย่ากัน และเหตุที่ว่าจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ตกลงจดทะเบียนหย่าและตกลงกันให้เรือนพิพาทตกได้แก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ก่อนวันโจทก์ฟ้องคดีดังกล่าวเพียง 4 วัน แล้วเห็นว่าคดีมีเหตุผลฟังได้ว่าการจดทะเบียนหย่า และการแบ่งทรัพย์สินของจำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ตามที่ผู้ร้องขัดทรัพย์นำสืบเป็นการที่จำเลยกับผู้ร้องขัดทรัพย์ร่วมกันกระทำขึ้นโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงมิให้โจทก์และผู้ร้องสอดที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยนั่นเอง อันเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตหามีผลให้เรือนพิพาทซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยตกเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์แต่ผู้เดียวตามที่จำเลยและผู้ร้องขัดทรัพย์ตกลงสมยอมกันไม่ ผู้ร้องขัดทรัพย์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยเรือนพิพาทจากการยึด”

พิพากษายืน

Share