คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้โรงเรือนจัดตั้งเป็นโรงเรียนรับสอบนักเรียนซึ่งมิใช่โรงเรียนสาธารณะทั้งเป็นการทำเพื่อผลกำไรส่วนบุคคล แม้จำเลยจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่เป็นเหตุยกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ มาตรา 9 (2) และมาตรา 10

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรือนเลขที่ ๒๐ ถนนการุณราษฎร์ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี จัดตั้งเป็นโรงเรียนเปิดสอนนักเรียนชื่อโรงเรียนสัมพันธ์ศึกษาจำเลยได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงเรือนดังกล่าวประจำปี พ.ศ.๒๕๑๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกปี เพื่อเสียภาษีสำหรับปีที่ล่วงมาแล้ว คือ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ถึง ๒๕๑๘ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้แจ้งรายการประเมินและค่าภาษีที่จำเลยจะต้องชำระให้จำเลยผู้รับประเมินทราบแล้วทุกปี จำเลยมิได้ทักท้วง ค่าภาษีที่จำเลยจะต้องชำระตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเงินปีละ ๓๖๐ บาท รวม ๖ ปี เป็นเงิน ๒,๑๖๐ บาท แต่จำเลยไม่ชำระภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันรับแจ้งการประเมินของแต่ละปีทุกปี ถือว่าเงินค่าภาษีนั้นค้างชำระ จำเลยค้างชำระค่าภาษีแต่ละปีเกิน ๓ เดือน จึงต้องชำระค่าภาษีเพิ่มขึ้น ร้อยละสิบแห่งค่าภาษีที่ค้างชำระทุกปี คิดเป็นเงินปีละ ๓๖ บาท รวม ๖ ปี เป็นเงิน ๒๑๖ บาท รวมค่าภาษีค้างชำระและงินเพิ่มค่าภาษีรวม ๖ ปีเป็นเงิน ๒,๓๗๖ บาท เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ จำเลยได้ผ่อนชำระเป็นเงิน ๕๐๐๐ บาท คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระอีก ๑,๘๗๖ บาท โจทก์ทวงถามก็เพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงิน ๑,๘๗๖ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรือนตามฟ้อง ซึ่งใช้สอนนักเรียกชื่อโรงเรียนสัมพันธ์ศึกษา และใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยด้วยทั้งหมด จึงได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน แม้จำเลยจะได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีไว้ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่เคยแจ้งรายการประเมินและจำนวนค่าภาษีให้จำเลยทราบ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าภาษีเพิ่มขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑,๘๗๖ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า จำเลยใช้โรงเรือนตามฟ้องเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ทำเป็นโรงเรือนรับสอนนักเรียน มิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้า หรือประกอบอุตสาหกรรม จึงได้รับยกเว้นภาษีตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๕ นั้น มาตรา ๑๐ ที่จำเลยอ้างบัญญัติว่า “โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เอง หรือใช้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ท่านให้งดเว้นจากบัญญัติแห่งภาคนี้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นไป” กฎหมายมาตรานี้มิได้บัญญัติถึงการจัดตั้งโรงเรียนไว้ด้วย จำเลยใช้โรงเรือนจัดตั้งเป็นโรงเรียนรับสอน-นักเรียน ซึ่งมิใช่โรงเรียนสาธารณะ ทั้งเป็นการกระทำกิจการเพื่อผลกำไรส่วนบุคคล แม้จำเลยจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่เป็นเหตุยกเว้นภาษี ตามมาตรา ๙ (๓) และมาตรา ๑๐
พิพากษายืน.

Share