คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผู้เงินโจทก์ที่ 1 ไปโดยให้โจทก์ที่ 2 ค้ำประกันและจำเลยที่ 1 ได้นำทะเบียนรถยนต์มีชื่อจำเลยที่ 1 มาหลอกโจทก์ทั้ง2 ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 แท้จริงรถคันนั้นจำเลยที่ 1 ซื้อผ่อนส่งจากบริษัท+ ยังผ่อนไม่หมดรถยังเป็นของบริษัท จำเลยที่ 2 ก็ทราบความดังนี้ดี แล้วจำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 2 ไปชำระเงินค้างผ่อนส่งแล้วให้บริษัทโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ นอกจากรถคันนี้แล้วจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอย่างใดอีก
ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบตรงตามความในป.พ.พ.ม.237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เลิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เงินของโจทก์ที่ ๑ ไป ๑๐,๐๐๐ บาท โดยมีโจทก์ที่ ๒ ค้ำประกันและจำเลยที่ ๑ได้นำทะเบียนรถยนต์บรรทุกชนิดฟาโภ หมายเลข ส.ท. + ปรากฎในทะเบียนว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของมาหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อยึดไว้เป็นประกัน ความจริงรถยนต์นี้เป็นของบริษัท + จำกัด ได้+เชื่อเงินผ่อนส่ง (เช่าซื้อ) ให้แก่จำเลยที่ ๑ ยังหาได้โอนกรรมสิทธิรถยนต์ให้เป็นของจำเลยที่ ๑ ไม่ จำเลยมาหลอกลวงโจทก์ทั้ง ๒ ให้หลงเชื่อ โจทก์ที่ ๑ จึงยอมให้กู้และโจทก์ที่ ๒ ยอมค้ำประกัน จำเลยที่ ๑
ต่อมาจำเลยที่ ๑,๒ ไปขอตรวจดูหนังสือสัญญากู้และทะเบียนรถยนต์นั้นจากโจทก์ โดยจำเลยแจ้งว่าจำเลยที่ ๒ จะขอไถ่ถอนและชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ที่ ๑ เพราะ จำเลยที่ ๒ จะซื้อรถยนต์นี้จากจำเลยที่ ๑ ภายหลังจำเลยทั้งสองเจตนาเอาเปรียบแก่โจทก์ กับไปตกลงกับบริษัท ดีทแฮลม์ จำกัด ว่าทะเบียนรถยนต์คันนั้นหาย จำเลยที่ ๒ จะเป็นผูชำระเงินงวดที่ค้างอยู่แทนจำเลย ที่ ๑ ทั้งหมดเป็นเงิน๔๕,๐๐๐ บาท บริษัทดีทแฮลม์ หลงเชื่อจึงยอมรับเงินผ่อนส่งที่จำเลยที่ ๒ ยังค้างส่งอีก ๔๕,๐๐๐ บาท จากจำเลยที่ ๒ บริษัท ดีทแฮลม์ จำกัด จึงได้มอบอำนาจการโอนทะเบียนกรรมสิทธิรถยนต์ให้จำเลยที่ ๒ มาร้องต่อเจ้าพนักงานสถานีตำรวจสิงห์บุรี แก้ทะเบียนและโอนกรรมสิทธิรถยนต์ให้จำเลยที่ ๒ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนเสียเปรียบเสียหายในสิทธิอันควรที่ควรได้ เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สมบัติอื่นนอกจากรถคันนี้จำเลยที่ ๒ ได้ยึดถือลักทรัพย์ประกันไปเป็นของตนเสียโดยไม่สุจริต ขอให้จำเลยที่ ๑,๒ ช่วยกันใช้ต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถชำระ ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนรถยนต์ดังกล่าวของจำเลยที่ ๒ เสีย ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ จะได้กู้เงินของโจทก์ที่ ๑ โดยนำทะเบียนรถยนต์ไปให้ยึดและโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันหรือไม่จำเลยไม่ทราบไม่รู้เห็นด้วย จำเลยไม่เคยไปขอดูสัญญากู้และทะเบียนรถยนต์ดังฟ้อง ฟ้อง+นี้เคลือบคลุมเพราะข้อหาไม่ได้ระบุว่าขอดูที่ไหน ตำบลและอำเภอใด
จำเลยที่ ๑ มาบอกขายสิทธิการซื้อเชื่อเงินผ่อนส่งให้จำเลยที่ ๒ แล้วได้ไปทำการโอนสิทธิซื้อเชื่อเงินผ่อนส่งให้จำเลยที่ ๒ ที่บริษัท ดีทแฮลม์ จำกัดแล้วโดยสุจริตและเปิดเผย และครอบครองรถยนต์ต่อมา โจทก์ก็ทราบหาคัดค้านไม่ และตัดฟ้องว่าหากฟังว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินของโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจริง โจทก์ที่ ๑ ก็ชอบที่จะบังคับเอาจากโจทก์ที่ ๒ ผู้ค้ำประกันตาม ป.พ.พ.ม. ๖๘๖ ไม่มีอำนาจบังคับเอาจากจำเลยที่ ๒ และโจทก์ที่ ๑ ก็ยังไม่เคยบังคับเอาจากโจทก์ที่ ๒ ได้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ ไปแล้วก็มีสิทธิไถ่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ยังมิได้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลขายรถยนต์ราคา ๖๓,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๒ แต่โจทก์ตีราคาทุนทรัพย์มา ๑๑,๕๐๐ บาท ยังไม่ถูกต้อง ขอให้ตีราคาใหม่ ๖๓,๐๐๐ บาท ฯลฯ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตาม ม. ๒๔ เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ว่ามีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ และให้เสียค่าธรรมเนียมตามทุนทรัพย์ ๖๓,๐๐๐ บาท ก่อนชี้ขาดเบื้องต้น
ศาลจังหวัดสิงห์บุรีสั่งคำร้องของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ค่าขึ้นศาลที่เรียกไว้สมควรแก่รูปเรื่องแล้ว
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และสั่งให้เรียกค่าธรรมเนียมตามทุนทรัพย์ ๖๓,๐๐๐ บาท
ศาลจังหวัดสิงห์บุรีสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะที่เกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องข้อเดียวส่วนข้อค่าขึ้นศาลไม่รับอุทธรณ์ เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ม. ๒๒๖
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในมูลกรณีผิดสัญญากู้เงิน จำเลยที่ ๒ มิได้เกี่ยวข้องรับผิดในการกู้เงินของจำเลยที่ ๑ โดยสัญญาแต่ประการใด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้รับผิดใช้เงินกู้นี้ให้โจทก์ แม้จะเป็นจริงดังโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสมคบกันโอนรถยนต์ไปโดยไม่สุจริต โจทก์ก็ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดใช้เงินให้โจทก์ที่ ๑ ตามสัญญากู้ไม่ได้ สำหรับโจทก์ที่ ๒ แม้จะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยที่ ๒ ให้ต้องรับผิดชอบชำระเงินกู้ให้โจทก์ที่ ๑
โจทก์ยึดถือทะเบียนรถยนต์จากจำเลยที่ ๑ ไว้เป็นประกัน ไม่ทำให้โจทก์มีทรัพย์สินในรถยนต์คันนี้ เพราะไม่ได้ทำให้ถูกต้องตาม ก.ม. กลับปรากฎว่าทะเบียนนั้นปลอม ความจริงบริษัท ดีทแฮลม์ เป็นเจ้าของ ไม่ใช่จำเลยที่ ๑ เช่นนี้ด้วยแล้วจึงไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิอย่างใดเลย แม้จำเลยที่ ๒ จะได้ทราบถึงการกู้การค้ำประกันระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์อยู่แล้วก็ตาม เมื่อบริษัทดีทแฮลม์เจ้าของอันแท้จริงได้โอนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ ๒ ไป จำเลยที่ ๒ มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใดโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์นี้เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๒ ทราบดี อยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เงินกู้โจทก์ที่ ๑ อยู่ก่อนแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกนอกจากรถยนต์คันนี้ซึ่งจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อจากบริษัท ดีทแฮลม์และโจทก์มีทางบังคับเอามาชำระหนี้ได้ จำเลยทั้งสองเจตนาเอาเปรียบโจทก์ โดยไปหลอกลวงบริษัท ดีทแฮลม์ จำกัด ขอให้บริษัทใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันนี้ต่อไป การกระทำทั้งนี้เป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ เสียเปรียบ โดยจำเลยที่ ๒ ทราบความจริงอยู่แล้ว ตามฟ้องของโจทก์มีข้อความดังนี้ต้องตามบทบัญญัติใน ม. + แห่ง ป.พ.พ ซึ่งให้เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑,๒ อันเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบได้
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ต่อไปตามกระบวนพิจารณา แล้วพิพากษาต่อไปตามกระบวนความ

Share