คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไม่เป็นเอกสารสำคัญที่จะแสดงว่าผู้มีชื่อในหนังสือนั้นมีกรรมสิทธิ์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1467 และ 1474 ฉะนั้นแม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นสามีภรรยากันมีชื่อร่วมกันในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยที่ 1 สามีก็มีอำนาจจำหน่ายได้โดยลำพัง ไม่จำต้องให้จำเลยที่ 2 ภริยาเข้าชื่อเป็นผู้ขายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้แบ่งขายที่ดินให้โจทก์แล้วไม่ยอมแบ่งแยกโอนให้ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ถ้าโอนให้ไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่ามิได้ขายที่ดินให้โจทก์ สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาปลอมหากจำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิส่วนเฉพาะของจำเลยที่ 1เท่านั้น

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินให้โจทก์จริงจำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่พิพาทมีชื่อจำเลยทั้งสองในน.ส.3 และเป็นสินบริคณห์ของจำเลยทั้งสองที่มีเอกสารเป็นสำคัญ การจำหน่ายสินบริคณห์จำเลยทั้งสองต้องลงชื่อด้วยกัน เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ลงชื่อในหนังสือสัญญาซื้อขาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ บังคับไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันและเป็นเจ้าของที่ดินบริคณห์มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) 1 แปลง มีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของใน น.ส.3 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวบางส่วนให้โจทก์ครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่แบ่งแยกที่ดินโอนขายให้โจทก์และเห็นว่าตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 คำว่า “โฉนดที่ดิน” นั้นหมายถึงหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้หมายความรวมโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ทั้งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 ก็บัญญัติว่า ที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วให้โอนกันได้ ดังนั้น หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามประมวลกฎหมายที่ดินจึงไม่เป็นเอกสารสำคัญที่จะแสดงว่าผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1467 และมาตรา 1474 ฉะนั้นที่ดินที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายให้โจทก์จึงเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญอันเป็นสินบริคณห์ แม้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันจะมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ร่วมกัน จำเลยที่ 1 สามีก็มีอำนาจจำหน่ายได้โดยลำพังโดยไม่จำต้องให้จำเลยที่ 2 ภริยาเข้าชื่อเป็นผู้ขายด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 วรรคหนึ่ง

พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกและโอนขายที่ดินตามแผนที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถแบ่งแยกและโอนขายให้โจทก์ได้ ก็ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share