คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย จำเลยต่อสู้ว่ากู้เงินโจทก์ตามที่ฟ้องจริง แต่ภายหลังยืม+โจทก์มาอีกจำนวนหนึ่ง แล้วตกลงทำสัญญากู้กันใหม่ โดยเอาจำนวนเงินที่กู้เดิมบวกกับราคาข้าวที่ยืมมาลงเงินเป็นจำนวนกู้ในสัญญากู้ใหม่นี้ และในสัญญากู้ใหม่นี้ตกลงกันให้ลงชื่อพ่อตาโจทก์เป็นผู้ให้กู้ จำเลยเป็นผู้กู้ แล้วจำเลยได้ชำระเงินเท่าจำนวนตามสัญญาใหม่ให้แก่พ่อตาโจทก์แล้วดังนี้เป็นเรื่องต่อสู้ว่าได้ตกลงแปลงหนี้ใหม่และโอนสิทธิเรียกร้องให้พ่อตาโจทก์ซึ่งถ้าเป็นจริงหนี้เดิมก็ระงับสิ้นไป จึ่งต้องให้จำเลยสืบตามข้อต่อสู้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สามีจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๕๐๐ บาทมอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ย ต่อมาสามีจำเลยตาย จำเลยเป็นผู้รับมฤดกและไม่ยอมให้โจทก์ทำนา จึงขอให้จำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๕๐๐ บาทจริง แต่เมื่อสามีจำเลยตายแล้ว จำเลยยืมข้าวเปลือกโจทก์ ๖๕๐ เลียง คิดเป็นเงิน ๖๕๐ บาท โจทก์และนายเทศพ่อตาโจทก์ตกลงให้จำเลยทำสัญญากู้ขึ้นใหม่ ๑ ฉะบับ โดยเอาจำนวนเงิน ๕๐๐ บาทเดิมมาบวกราคาข้าวที่จำเลยยืม ๖๕๐ บาทกับเพิ่มดอกเบี้ยหรือค่าเช่านาซึ่งจำเลยทำอีก ๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๒๐๐ บาท โดยจำเลยลงชื่อเป็นผู้กู้ นายเทศเป็นผู้ให้กู้เพราะนายเทศว่าเงินที่สามีจำเลยกู้โจทก์ไปเป็นเงินนายเทศส่วนสัญญาเก่าโจทก์และนายเทศว่าจะทำลายเสีย ต่อมาจำเลยชำระเงิน ๑๒๐๐ บาทตามสัญญาฉะบับใหม่ให้กับนายเทศแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญากู้ ๕๐๐ บาทนั้นจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือว่าได้ใช้เงินแล้ว จึ่งพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการต่อสู้เรื่องแปลงหนี้ใหม่ ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การจำเลยเป็นเรื่องแก้ว่าจำเลยกับโจทก์และพ่อตาโจทก์ได้ตกลงกันแปลงหนี้ใหม่ และโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่นายเทศพ่อตาโจทก์ ถ้าได้มีการแปลงหนี้และโอนสิทธิเรียกร้องกันจริงหนี้เดิมก็อาจระงับสิ้นไป จึงเป็นเรื่องควรจะต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนจึ่งจะพิพากษาได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิจารณาข้อเท็จจริง และพิพากษาใหม่ชอบแล้ว พิพากษายืน

Share