คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ณภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่29พฤษภาคม2538จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่26กันยายน2538จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา15วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้วแม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี2529แล้วก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ทราบดีโดยจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด15วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้วแต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใดจึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด15วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ได้ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีอื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ราคารถยนต์จำนวน 659,025 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไป และให้จำเลยส่งมอบโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย หมายเลข 9153765 คืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 39,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2537เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระราคารถยนต์ หมายเลขทะเบียน 5ฮ-7244 กรุงเทพมหานคร ส่วนที่เหลือจำนวน 659,025 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2537 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยส่งมอบโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย รุ่น 900 หมายเลข9153765 คืนให้แก่โจทก์ หากส่งมอบคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 39,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2537 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เพราะโจทก์ได้ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกไปให้จำเลย ณ บ้านเลขที่ 10 แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตามภูมิลำเนาในทะเบียนบ้าน ความจริงจำเลยได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 203/747 หมู่ที่ 1ตำบลบางเสาธง กึ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อประมาณปี 2529 เพื่อไปปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ ซึ่งโจทก์ทราบที่อยู่ของจำเลยดี และที่ทำงานของจำเลยก็อยู่ที่ตำบลบางเสาธงกึ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยจึงไม่ได้กลับมาบ้านที่อยู่ตามฟ้องโจทก์เลย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกไปให้จำเลยตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในทะเบียนบ้านเพื่อต้องการมิให้จำเลยทราบจึงเป็นการไม่สุจริตหากจำเลยได้ทราบคำฟ้องและต่อสู้คดีแล้ว โจทก์ต้องแพ้คดีแก่จำเลยแน่นอน เพราะความจริงรถยนต์และโทรศัพท์มือถือเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์ต้องซื้อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย มิใช่เป็นของโจทก์จำเลยมีหลักฐานประกอบมากมาย หากมีการพิจารณาใหม่ศาลแรงงานกลางจะต้องมีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปจากคำพิพากษาเดิมและจำเลยสามารถชนะคดีโจทก์ได้
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ(24 พฤษภาคม 2538) แล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยจะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่าตามมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบมาตรา 31แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับให้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ ณภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่ 29 พฤษภาคม 2538 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 26กันยายน 2538 จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี 2529 แล้วก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ทราบดีโจทก์จำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้ว แต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใด จึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติข้างต้นได้ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณียื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้น ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share