คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้อง ในวันเดียวกับที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง โดยท้ายคำร้องมีหมายเหตุว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว จึงถือว่าผู้ร้องทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายต้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ผู้ร้องทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาเนื้อหาของคำร้องให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบของผู้ร้อง แล้วมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน ทรัพย์ที่ถูกยึดจึงไม่ใช่ของผู้ร้อง คดีของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง เป็นการพิจารณาสั่งตามเนื้อหาของคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง อันเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วยในผลแห่งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะต้องพิพากษายืน แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง จึงเป็นการพิพากษาโดยมิชอบ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,827,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำดอกเบี้ยค้างชำระครบ 1 ปี ทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันเป็นปีๆ ไป หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 20962, 20980, 20983, 20991, 21158, 21208, 21241, 21271 และ 21272 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน 9 แปลง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ขอให้ปล่อยทรัพย์ โดยขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าคดีของผู้ร้องไม่มีมูล ให้ยกคำร้อง หากประสงค์จะดำเนินคดีให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลตามทุนทรัพย์ภายใน 15 วัน หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดถือว่าทิ้งคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยมิได้ทำการไต่สวนคำร้องให้สิ้นกระแสความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 เป็นคำสั่งโดยผิดหลง ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวและนัดไต่สวนคำร้องต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน ทรัพย์ที่ถูกยึดจึงไม่ใช่ของผู้ร้อง คดีของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งเดิม ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเกินกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง กรณีจึงไม่ต้องด้วยกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดที่ศาลจะสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คำร้องของผู้ร้องมีมูลและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรค 1 ที่ศาลจะต้องทำการไต่สวนให้สิ้นกระแสความ จึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 กำหนด 8 วัน ต้องนับแต่วันที่ผู้ร้องได้ทราบคำสั่งที่ผิดระเบียบจริงๆ หาใช่ถือว่าได้ทราบตามหมายเหตุท้ายคำร้องดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย เห็นว่า ที่ผู้ร้องอ้างในคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบว่า ศาลชั้นต้นมิได้ทำการไต่สวนคำร้องให้สิ้นกระแสความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 เป็นคำสั่งโดยผิดหลง เป็นการไม่ชอบ เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่เกี่ยวกับการพิจารณาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีอนาถา ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมอันเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายต้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นก่อนมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ผู้ร้องทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้อง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2547 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง โดยท้ายคำร้องมีหมายเหตุว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว จึงถือว่าผู้ร้องทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายต้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ผู้ร้องทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ซึ่งช้ากว่าแปดวันนับแต่ผู้ร้องทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ คดีไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาในเนื้อหาของคำร้องให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2547 แล้วมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน ทรัพย์ที่ถูกยึดจึงไม่ใช่ของผู้ร้อง คดีของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง เป็นการพิจารณาสั่งตามเนื้อหาของคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง อันเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วยในผลแห่งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะต้องพิพากษายืน แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง จึงเป็นการพิพากษาโดยมิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นนี้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคท้าย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และให้ยกคำร้องของผู้ร้องยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งสามศาลแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากนี้ให้เป็นพับ หากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้

Share