คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติทนายความฯ มาตรา 33 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ซึ่งมิได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตหรือผู้ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความหรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความในศาลรวมทั้งเรียงคำฟ้องและคำให้การ การที่จำเลยยื่นคำให้การระบุว่า ส. ทนายจำเลย เป็นผู้เรียงและพิมพ์ แต่มิได้ยื่นใบแต่งทนายความหรือแสดงพยานหลักฐานว่า ส. เป็นทนายความ จึงยังไม่ชัดเจนว่าคำให้การของจำเลยชอบหรือไม่ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำเลยแสดงหลักฐานการเป็นทนายความ จึงเป็นการสั่งเพื่อตรวจคำให้การของจำเลยหาใช่สั่งให้ส่งเอกสารที่กฎหมายต้องการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรกลางและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯมาตรา 17 เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้แสดงหลักฐานการเป็นทนายความของ ส. ภายในเวลาที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนด จึงถือว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองเรียงโดยผู้ไม่มีอำนาจเป็นคำให้การไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าภาษีค้างจำนวน 20,558,145 บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2543 โดยคำให้การระบุว่านายสราวุธ นิยมทรัพย์ ทนายจำเลยทั้งสองเป็นผู้เรียงและพิมพ์ แต่มิได้ยื่นใบแต่งทนายความมาพร้อมกับคำให้การศาลภาษีอากรกลางสั่งคำให้การของจำเลยทั้งสองในวันเดียวกันนั้นเองว่า “ให้ผู้เรียงพิมพ์คำให้การนี้แสดงหลักฐานการเป็นทนายความต่อศาลภายใน 5 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นคำให้การที่ผู้เรียงไม่มีอำนาจเรียงได้” จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นใบแต่งทนายความและมิได้แสดงหลักฐานการเป็นทนายความของผู้เรียงคำให้การภายในกำหนด ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้จำเลยทั้งสองแสดงหลักฐานการเป็นทนายความของผู้เรียงคำให้การเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่าหลักฐานการเป็นทนายความของผู้เรียงคำให้การมิใช่เอกสารที่กฎหมายต้องการตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองแสดงหลักฐานดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เห็นว่า พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 33 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ซึ่งมิได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตหรือผู้ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความหรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความในศาลรวมทั้งเรียงคำฟ้องและคำให้การจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การระบุว่านายสราวุธ นิยมทรัพย์ ทนายจำเลยทั้งสองเป็นผู้เรียงและพิมพ์ซึ่งนายสราวุธได้ลงชื่อเป็นผู้เรียงและพิมพ์แต่มิได้ยื่นใบแต่งทนายความหรือแสดงหลักฐานว่านายสราวุธเป็นทนายความ กรณียังไม่ชัดเจนว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองชอบหรือไม่ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองแสดงหลักฐานการเป็นทนายความของผู้เรียงคำให้การ จึงเป็นการสั่งเพื่อตรวจคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าชอบหรือไม่ หาใช่สั่งให้จำเลยทั้งสองส่งเอกสารที่กฎหมายต้องการตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคสองไม่ คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้แสดงหลักฐานการเป็นทนายความของนายสราวุธภายในเวลาที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดจึงถือว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองเรียงโดยผู้ไม่มีอำนาจ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบ ศาลภาษีอากรกลางไม่รับคำให้การของจำเลยทั้งสองชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share