คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยและปรากฎว่า โจทก์จำเลยได้เป็นความกันในทางแพ่งโต้เถียงกรรมสิทธิในที่พิพาทหนี้อยู่ โจทก์จึงขอให้ศาลรอคดีอาญาไว้ฟังผลในคดีแพ่งก่อน และศาลก็มีคำสั่งให้รอคดีอาญาไว้ ดังนี้ ย่อมหมายถึงว่า รอคดีไว้จนคดีแพ่งเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ถ้าคดีแพ่งยังไม่ถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นก็ยังไม่สมควรจะยกเอาคดีอาญาที่รอไว้ขึ้นมาพิจารณาพิพากษาไปก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันบุกรุกเข้ามาไถ่นา และดำนาในนาพิพาท ซึ่งเป็นของนายเสนาะ ขอให้ลงโทษ นายเสนาะผู้เสียหายได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการด้วย
จำเลยต่อสู้ว่า นาพิพาทเป็นของนายฟุ้งจำเลย
ปรากฎว่า ผู้เสียหายได้ฟ้องนายฟุ้งว่าจำเลยในทางแพ่ง โต้เถียงกรรมสิทธิกันอยู่แล้ว ศาลจึงตกลงให้รอคดีนี้ไว้ฟังข้อเท็จจริงในสำนวนทางแพ่งก่อน ครั้นศาลได้วินิจฉัยคดีแพ่งโดยพิพากษาว่า นายฟุ้งจำเลยมีกรรมสิทธิในนาพิพาทร่วมกับโจทก์คนละครึ่ง ศาลจึงยกเอาคดีนี้ขึ้นมาพิจารณา แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นให้งดรอคดีนี้ไว้ เพื่อฟังผลในคดีในคดีแพ่งดำที่ ๕๒/๒๔๙๓ ตามคำแถลงของฝ่ายโจทก์นั้น หมายถึงว่า เมื่อศาลได้พิพากษาคดีแพ่งเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะรอการ พิจารณาพิพากษาคดีนี้ จนกว่าคดีแพ่งดำที่ ๕๒/๒๔๙๓ ถึงที่สุดก่อน หาควรด่วนพิพากษายกฟ้องเสียเช่นนั้นไม่
จึงพิพากษายืน

Share