แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำบรรยายฟ้องโจทก์ได้ความชัดว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 เป็นผู้ทำสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำมาขายลดแก่โจทก์ เมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ แต่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้แก่โจทก์แทนตั๋วฉบับเดิม ที่จำเลยที่ 1 ให้การว่า เป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้ค่าตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมและโจทก์รับชำระหนี้แล้ว หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจึงระงับ แต่โจทก์ไม่ยื่นตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ภายในเวลาที่กำหนด จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่นั้นเป็นคำให้การปฎิเสธว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมแล้วโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่แลกเปลี่ยน การเปลี่ยนเงื่อนไขวันถึงกำหนดใช้เงินจากวันที่กำหนดไว้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมเป็นเมื่อทวงถามตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ มิใช่เปลี่ยนสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เพราะยังเป็นมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอยู่ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจะระงับไปหรือไม่อย่างไรไม่ใช่ข้อสำคัญ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ก็ไม่ระงับ หนี้ตามหนังสือสัญญาขายลดตั๋วเงินและสัญญาจำนองสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นประกันการชำระหนี้ก็ไม่ระงับไปด้วย คำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยทั้งสี่เข้าใจผิดหรือหลงข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งถึงสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ก่อนจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินขายลดแก่โจทก์จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับโจทก์มีข้อความสำคัญในสัญญาขายลดตั๋วเงินว่าหากโจทก์ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะชำระเงินตามตั๋วคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติตามยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับได้ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลบังคับจำเลยที่ 1 ตลอดไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินตามตั๋วที่นำมาขายลดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จนครบ โดยมีสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันของจำเลยทั้งสี่เป็นหลักประกัน หลังจากจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายตั๋วเงินกับโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 มาขายลดแก่โจทก์ 1 ฉบับ เป็นเงิน 15,000,000 บาท เมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระเงินจำเลยที่ 1 ไม่ใช้เงินแก่โจทก์ แต่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่จำนวนเงินแลกเปลี่ยนหรือชำระหนี้ตามตั๋วฉบับเดิม เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามตั๋วฉบับใหม่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ชำระ ดังนั้นเงินจำนวน 15,000,000 บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่โจทก์จึงยังไม่ได้รับชำระคืน หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและสัญญาจำนองกับค้ำประกันซึ่งเป็นประกันแห่งหนี้ จึงไม่ระงับและยังมีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่ จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามบอกกล่าวบังคับจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ดังนี้ข้อที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ จ. เป็นผู้บอกกล่าวบังคับจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้แทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม แม้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจะไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในตั๋ว แต่เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่รับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินและรับซื้อลดตั๋วเงิน ฯลฯ ผู้มีอำนาจกระทำแทนโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายธีระ คูหะเปรมะ ฟ้องคดีแทน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน15,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีในหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ ไม่ใช่ลายมือชื่อนายวิชัย อัสสรัตน์และนายวิชาญ ฤทธิรงค์ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง มูลหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1ทำกับโจทก์รับระงับไปแล้ว เพราะจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ เอ 08150 ชำระหนี้แก่โจทก์แทน โจทก์มิได้ยื่นตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ เอ 08150 ให้ใช้เงินภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินโจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งสี่ได้ทำขึ้นเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน และหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินย่อมระงับสิ้นไปเพราะจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่อันมีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาใช้เงิน จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมระงับสิ้นไป จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกัน ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องเรียกมาเป็นดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 1 ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12481 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 126, 127, 128, 1890, 124, 125, 34, 935, 1024, 1025 และ 209 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ในที่ดินขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่ายเงินจำนวน 15,000,000 บาท นำมาขายลดแก่โจทก์ ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและสัญญาจำนองและค้ำประกันที่จำเลยทั้งสี่ทำกับโจทก์ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 ไม่ชำระต้นเงินตามตั๋วพร้อมดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่สั่งจ่ายเงินแก่โจทก์จำนวนเท่าเดิม ถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถาม นำมาแลกเปลี่ยนกับตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ใช้เงินแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่สัญญาขายลดตั๋วเงินกับสัญญาจำนองและค้ำประกัน โดยโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว คำบรรยายฟ้องดังกล่าวได้ความชัดว่า จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้ทำสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำมาขายลดแก่โจทก์ เมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ แต่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้แก่โจทก์แทนตั๋วฉบับเดิม ที่จำเลยที่ 1 ให้การว่าเป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้ค่าตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม และโจทก์รับชำระหนี้แล้ว หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจึงระงับ แต่โจทก์ไม่ยื่นตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ภายในเวลาที่กำหนด จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ เป็นคำให้การปฎิเสธว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมแล้วโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่แลกเปลี่ยนการเปลี่ยนเงื่อนไขวันถึงกำหนดใช้เงินจากวันที่กำหนดไว้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมเป็นเมื่อทวงถามตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ มิใช่เปลี่ยนสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เพราะยังเป็นมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอยู่ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจะระงับไปหรือไม่อย่างไรไม่ใช่ข้อสำคัญ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ก็ไม่ระงับ หนี้ตามหนังสือสัญญาขายลดตั๋วเงินและสัญญาจำนองสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นประกันการชำระหนี้ก็ไม่ระงับไปด้วย คำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยทั้งสี่เข้าใจผิดหรือหลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งถึงสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยทั้งสี่ฎีกาข้อสองว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องแต่โจทก์แทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิม หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมจึงระงับไป สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญาได้ เห็นว่าก่อนจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินขายลดแก่โจทก์ จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 กับโจทก์มีข้อความสำคัญในสัญญาขายลดตั๋วเงินเอกสารหมาย จ.5 ว่า หากโจทก์ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะชำระเงินตามตั๋วคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเงินเสร็จหากจำเลยที่ 1ไม่ปฎิบัติตามยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลบังคับจำเลยที่ 1 ตลอดไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินตามตั๋วที่นำมาขายลดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จนครบ โดยมีสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันของจำเลยทั้งสี่เป็นหลักประกันข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การจำเลย และทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายฟังเป็นยุติได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวกับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.6 มาขายลดแก่โจทก์ 1 ฉบับ เป็นเงิน 15,000,000 บาท เมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระเงินจำเลยที่ 1 ไม่ใช้เงินแก่โจทก์ แต่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่จำนวนเงิน 15,000,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินตามตั๋วฉบับเดิมให้โจทก์เพื่อแลกเปลี่ยนหรือชำระหนี้ตามตั๋วฉบับเดิม เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามตั๋วฉบับใหม่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ชำระ ดังนั้นเงินจำนวน 15,000,000บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่โจทก์จึงยังไม่ได้รับชำระคืนหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและสัญญาจำนองกับค้ำประกันซึ่งเป็นประกันแห่งหนี้ จึงไม่ระงับยังมีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ฎีกาข้อสามว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ผู้มีชื่อบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 1การบอกกล่าวบังคับจำนองตามเอกสารหมาย จ.26 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ในปัญหาข้อนี้ว่า จำเลยที่ 1ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามบอกกล่าวบังคับจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ตามเอกสารหมาย จ.26 ปรากฎว่าโจทก์ได้มอบหมายให้นายเจษฎา อนุจารี มีจดหมายบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 แล้ว ข้อที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมอบอำนาจให้นายเจษฎาเป็นผู้บอกกล่าวบังคับจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการยกข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การขึ้นอ้างในชั้นฎีกาถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยทั้งสี่ฎีกาข้อสี่ว่า สัญญาขายลดตั๋วเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ระงับลงแล้วตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ที่โจทก์ฟ้องก็ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18หรือ 20 ต่อปี คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ตามกฎหมายตั๋วเงินเท่านั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยของต้นเงิน 15,000,000 บาท ในอัตราร้อยละ18 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2535 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ อันเป็นการให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย จ.25เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย จ.25 ชำระหนี้แทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมตามเอกสารหมาย จ.6 แม้ตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 จะไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในตั๋ว เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่รับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่คืออัตราร้อยละ 18 ต่อปีตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.25
พิพากษายืน