แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนค่าเสียหายเป็น 950 บาทเป็นการแก้เฉพาะจำนวนค่าเสียหาย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จำเลยฎีกาว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ.2499 มาตรา 25
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่าจำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายบุกรุกไถที่ดินของโจทก์ทางด้านเหนือ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ราคาประมาณ2,000 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดรบกวนสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย คือ ต้นนุ่นเป็นเงิน 1,000 บาท กล้วยเป็นเงิน 900 บาทที่ดิน 2,000 บาท ขอให้ศาลบังคับขับไล่ จำเลยทั้งสองและบริวารอย่าให้เข้าไปรบกวนสิทธิในที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 3,900 บาท
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาวันที่ 24 กรกฎาคม 2516จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งไว้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ พิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปรบกวนสิทธิในที่ดินของโจทก์ และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาทให้โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์สืบไม่ได้ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ และค่าเสียหายโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ พิจารณาสืบพยานต่อไป หรือพิพากษากลับ ยกฟ้องของโจทก์ หรือกำหนดค่าเสียหายให้น้อยลง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ค่าเสียหายควรเป็น 950 บาท พิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 950 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ขอให้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเฉพาะจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2499 มาตรา 25 ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จำเลยจะได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นไว้ และได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ก็ตามแต่เมื่อฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ