แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในวันขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผู้สนใจประมูลประมาณ20คนเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อ่านประกาศขายทอดตลาดและข้อสัญญาตลอดจนคำเตือนให้ผู้สนใจทราบทุกคนแล้วมีผู้เข้าสู้ราคาเพียง2คนคืออ. และโจทก์ซึ่งอ.เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดเป็นเงิน14,100,000บาทสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีและสำนักงานวางทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายไปในราคาดังกล่าวทั้งไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดครั้งนี้มีการสมยอมกันแต่อย่างใดและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีอีกด้วยที่จำเลยที่1อ้างมาในฎีกาว่าการประมูลมีการกดราคาและสู้ราคาในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนั้นเมื่อมีการขายทอดตลาดถึง18ครั้งจำเลยที่1กับพวกก็หาได้ขวนขวายหาผู้มาประมูลตามที่จำเลยที่1อ้างแต่อย่างใดไม่จึงถือได้ว่าการขายทอดตลาดเป็นอันสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่มีเหตุที่จะขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 6,000,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 307,000 บาท หากผิดนัดสองงวดติดต่อกัน ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้บังคับคดีได้ทันทีต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 43577, 36792, 36870, 37164 ถึง 37167รวม 7 แปลง เนื้อที่ 105 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2537นายอนุศักดิ์ ปานพูนทรัพย์ เป็นผู้ซื้อได้ โดยให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 14,100,000 บาท
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ภายหลังจากที่มีผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 14,100,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้คัดค้านราคาว่ายังต่ำกว่าราคาซื้อขายในท้องตลาดมาก นอกจากนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียังได้ดำเนินการขายทอดตลาดไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย กล่าวคือ ในวันขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีทำรายงานว่า ราคาประเมินของกรมที่ดินตารางวาละ 4,000 บาทซึ่งความจริงแล้ว สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขนได้กำหนดราคาประเมินที่ดินเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตารางวาละ22,500 บาท อีกทั้งปัจจุบันราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้ง 7 แปลงนี้ สามารถซื้อขายได้ไม่ต่ำกว่าแปลงละ 4,000,000ถึง 5,000,000 บาท นอกจากนี้โจทก์กับผู้ซื้อได้ร่วมกันฉ้อฉลโดยโจทก์เข้าสู้ราคาเองและประมูลคู่กับผู้ซื้อเพียงสองคนในลักษณะสมยอมและไม่คัดค้านราคาซื้อขายซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงถือว่าซื้อขายไม่สุจริต ขอให้มีคำสั่งขายทอดตลาดใหม่ และสั่งงดการทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 7 แปลงแก่ผู้ซื้อจนกว่าศาลจะวินิจฉัยชี้ขาด
โจทก์คัดค้านว่า การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปตามระเบียบโดยชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดโดยปฏิบัติตามระเบียบและถูกต้องตามกฎหมายทั้งโจทก์กับผู้ซื้อไม่รู้จักกัน ผู้ซื้อได้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตและได้ประมูลซื้อในราคาสูงสุดกว่าทุกครั้ง นอกจากนี้ยังสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ราคาที่ขายทอดตลาดเหมาะสมใกล้เคียงกับราคาประเมินของสำนักงานวางทรัพย์กลาง จำเลยทั้งสามนำสืบฟังไม่ได้ว่าโจทก์สมรู้กับผู้ซื้อทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์พิพาทชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสาม
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ปรากฏในสำนวนรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2528 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 43577, 36870, 36792, 37167แขวงอนุสาวรีย์ (กูบแดง) เขตบางเขน กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกแถว 4 ชั้น รวม 7 คูหา เปิดทะลุถึงกันเนื้อที่ดินรวม 105 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2ประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างไว้ 2,100,000 บาท ตามบัญชียึดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 16 มกราคม 2528 และประเมินราคาที่ดินไว้ตารางวาละ4,000 บาท เนื้อที่ 105 ตารางวา เป็นเงิน 420,000 บาทตามรายการยึดที่ดินเอกสารหมาย ล.3 รวมเป็นราคาประเมินทั้งสิ้นในขณะยึดทรัพย์ 2,520,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปรวม 17 ครั้งแล้ว แต่จำเลยที่ 2 คัดค้านว่าต่ำไปขอเลื่อนการขายใหม่ ต่อมาวันที่ 18 มกราคม 2537 เป็นการขายทอดตลาดครั้งที่ 18 มี นายอนุศักดิ์ ปานพูนทรัพย์ เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้โดยให้ราคาสูงสุด 14,100,000 บาท ตามรายงานการขายอสังหาริมทรัพย์เอกสารหมาย ล.1 อนึ่ง สำนักงานวางทรัพย์กลางประเมินราคาที่ดินไว้ 8,006,250 บาท สิ่งปลูกสร้างราคา5,069,400 บาท รวมราคา 13,075,650 บาท ส่วนเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน ได้ประเมินราคาที่ดินเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งให้กำหนดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไปมีราคาตารางวาละ 22,500 บาท ตามหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ที่ดินจึงมีราคาประเมิน 2,362,500 บาทตามเอกสารหมาย ล.2 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า การขายทอดตลาดเป็นไปโดยไม่ชอบและราคาขายต่ำไปหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 นางนงนุชวิเศษพุทธศาสตร์ นายอุดร สังวาลย์เพชร นายสมศักดิ์ สูทกวาทินและนางอุ๋ย วิยะกัน พยานจำเลยเพียงเบิกความลอย ๆ เท่านั้นในทำนองคาดการณ์เองว่า หากขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 จะขายได้ห้องละ 4,000,000 บาท ถึง 5,000,000 บาทโดยไม่มีหลักฐานอื่นสนับสนุน ส่วนราคาประเมินตามเอกสารหมาย ล.7นั้น เป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ที่นำออกขายทอดตลาดคดีนี้ โดยเป็นคนละแปลงกันเมื่อการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคดีนี้ได้มีการประกาศขายมาถึง 17 ครั้งแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดให้ราคาสูงดังที่จำเลยที่ 1 อ้างแต่ตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเป็นการขายทอดตลาดครั้งที่ 18 ฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2537 ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันขายทอดตลาดมีผู้สนใจประมูลประมาณ 20 คน เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อ่านประกาศขายทอดตลาดและข้อสัญญาตลอดจนคำเตือนให้ผู้สนใจทราบทุกคนแล้ว โดยมีผู้เข้าสู้ราคาเพียง 2 คน คือนายอนุศักดิ์และโจทก์ ในที่สุดนายอนุศักดิ์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดเป็นเงิน 14,100,000 บาท โดยสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีและสำนักงานวางทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายไปในราคาดังกล่าว ทั้งไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดครั้งนี้มีการสมยอมกันแต่อย่างใด และเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีอีกด้วยกรณีจึงถือไม่ได้ว่าการขายทอดตลาดเป็นอันสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่จะขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดใหม่ และจำเลยที่ 1อ้างมาในฎีกาว่าการประมูลมีการกดราคาและสู้ราคาในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น เมื่อมีการขายทอดตลาดถึง 18 ครั้ง เช่นนี้จำเลยที่ 1 กับพวกก็หาได้ขวนขวายหาผู้มาประมูลตามที่จำเลยที่ 1อ้างแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน