คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลไต่สวนบริษัทย.ที่ปฏิเสธนำเงินตามเช็คมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีคดีถึงที่สุดและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีต่อไปภายใน15วันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับดังนั้นหมายอายัดเช็คตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ในระหว่างพิจารณานั้นย่อมยกเลิกไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา260(2)การที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ยื่นไม่พ้นกำหนดเวลา1เดือนตามกฎหมายนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีที่จะได้รับการวินิจฉัยอีกต่อไปจึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าประเภทอุปกรณ์ก่อสร้างจากโจทก์เป็นเงิน 2,311,278.30 บาทระหว่างพิจารณาคดีโจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉินศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้อายัดเงินตามเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาลาดพร้าว-รัชดาจำนวนเงิน 2,304,906.54 บาทซึ่งบริษัทยังพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่จำเลยโดยให้มีหมายอายัดถึงธนาคารและบริษัทดังกล่าว และให้ส่งเงินจำนวนตามเช็คมอบให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาวันที่24 พฤศจิกายน 2537 บริษัทยังพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด ยื่นคำร้องโต้แย้งหนี้ที่เรียกร้องเอาแก่ตนโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาว่าจ้างจึงได้อายัดเช็คที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยก่อนได้รับคำสั่งศาลที่ให้ส่งเงินตามเช็คนั้น วันที่ 31 มกราคม 2538 โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2538โจทก์ยื่นคำร้องว่า การที่บริษัทยังพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัดยื่นคำร้องปฏิเสธที่จะนำเงินตามเช็คมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนเสียก่อนที่จะมีคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง เมื่อสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
โจทก์ อุทธรณ์ คำสั่งศาล ชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก อุทธรณ์ ของ โจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องของโจทก์ลงวันที่1 มีนาคม 2538 ที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในเรื่องที่บริษัทยังพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด ปฏิเสธไม่นำเงินที่ศาลมีคำสั่งอายัดมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เป็นคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณา คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของโจทก์ดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 วรรคสองและตามมาตรา 228 วรรคสี่ บัญญัติไว้ว่า “ถ้าคู่ความมิได้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ก็ให้อุทธรณ์ได้ในเมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วตามความในมาตรา 223” ดังนั้นแม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งของผู้ร้องดังกล่าวในช่วงระยะแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายใน 1 เดือน นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การยื่นอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ตามช่วงระยะเวลาที่สอง ตามมาตรา 228 วรรคสี่ ดังนั้นอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่พ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ความว่าภายหลังที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลไต่สวนบริษัทยังพรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด ที่ปฏิเสธนำเงินตามเช็คมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม 2538ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีถึงที่สุด และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับ ดังนั้น หมายอายัดเช็คตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ในระหว่างพิจารณานั้น ย่อมยกเลิกไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) การที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ยื่นไม่พ้นกำหนดเวลา 1 เดือนตามกฎหมายนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีที่จะได้รับการวินิจฉัยอีกต่อไป
จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา

Share