แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นคู่สัญญาผู้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย แต่ฟ้องในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นบุคคลภายนอก จึงไม่อยู่ใต้บังคับแห่งบทกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง
มูลละเมิดมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกันภัยแต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาประกันภัย ดังนั้นลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยจะประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงผู้รับประกันภัยก็ไม่พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนสะพานรถไฟของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกดังกล่าว จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาและบังคับ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธความรับผิด และจำเลยที่ 3 ต่อสู้ด้วยว่า เหตุละเมิดเกิดจากการความประมาทอย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3ฎีกาว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดมีแต่สำเนา ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นคู่สัญญาผู้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 แต่ฟ้องในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นบุคคลภายนอก จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดงดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา
จำเลยที่ 3 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มูลละเมิดในคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันภัย แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาประกันภัย ดังนั้น จำเลยที่ 1 จะประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงจำเลยที่ 3 ก็ไม่พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 879
พิพากษายืน