คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้สืบ ส.เป็นพยานหากส. เบิกความเจือสมฝ่ายใด ให้ฝ่ายนั้นชนะคดี ดังนี้ คำท้าของโจทก์จำเลยจึงเป็นคำท้าที่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท ใช้บังคับได้ เมื่อ ส. เบิกความเจือสมฝ่ายโจทก์โจทก์ก็เป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า จำเลยจะกลับมายื่นคำร้องอ้างว่า ส. เบิกความโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลไต่สวนและเพิกถอนคำท้าภายหลังที่ ส. ได้เบิกความต่อศาลไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลให้รับฟัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายหรั่งนางรักซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว นายหรั่งนางรักมีที่ดิน 1 แปลง นางหรั่งกู้เงินนายถวิล2 ครั้ง เป็นเงิน 3,300 บาท มอบที่ดินและ ส.ค.1 ดังกล่าวไว้เป็นประกัน เมื่อนายหรั่งถึงแก่กรรม โจทก์ยอมชำระหนี้แทน และทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้นายถวิลไว้ ต่อมานายถวิลถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยานายถวิลเป็นผู้รับมรดก โจทก์ขอชำระหนี้ต่อจำเลยที่ 2 และขอที่ดินและ ส.ค.1 คืน จำเลยที่ 2 เรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้เป็นเงิน 12,000 บาท โจทก์ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสอบสวนเรื่องราวร้องทุกข์ ผลปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินรายนี้จากจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงทำบันทึกฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2519 โดยจำเลยยอมคืนที่ดินให้โจทก์และรับเงินจากโจทก์ 9,500 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมคืนที่ดินให้โจทก์ ขอให้จำเลยคืนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า มิได้ให้ถ้อยคำรับรองต่อคณะกรรมการฯ ที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์ เมื่อ พ.ศ. 2510 นางรักมารดาโจทก์ได้ขายที่ดินรายนี้ให้จำเลยที่ 1 เพื่อเอาเงินชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 จำเลยได้ครอบครองที่รายนี้ตลอดมา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องที่ดินรายนี้ เมื่อคณะกรรมการฯ สอบสวนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้ขัดขวางการไถ่ถอนที่ดิน เพราะเป็นเรื่องของจำเลยที่ 1 ที่ครอบครองที่ดินอยู่

ก่อนสืบพยาน โจทก์ที่ 2 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ที่ 3 ที่ 4 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 3 ที่ 4

จำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณา

ในวันนัดสืบพยานจำเลย โจทก์จำเลยตกลงยอมสละข้อต่อสู้อื่น ๆ ทั้งหมดและท้าเป็นข้อแพ้ชนะกันว่าให้ศาลสอบถามจากปากคำนายสุนทรหรือโต๊ะผู้ใหญ่บ้านว่าบ้านที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทซึ่งเป็นบ้านนายสุวรรณบุตรจำเลยที่ 1 ปลูกมาเกิน 5 ปี หรือยังไม่เกิน 5 ปี ถ้านายสุนทรหรือโต๊ะว่าเกิน 5 ปี โจทก์ยอมแพ้ ถ้าต่ำกว่า 5 ปี จำเลยยอมแพ้ ให้ถือเอาคำเบิกความของนายสุนทรหรือโต๊ะเป็นข้อแพ้ชนะกัน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นเห็นว่า นายสุนทรหรือโต๊ะเบิกความว่าบ้านหลังที่นายสุวรรณอาศัยอยู่ปลูกมาประมาณ 4 ปีแล้ว เป็นการเจือสมฝ่ายโจทก์ พิพากษาให้จำเลยส่งมอบที่ดินตาม ส.ค. 1 ให้โจทก์

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำท้า

ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม นางสวาด ฟักขาว ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทน โจทก์ที่ 5 และจำเลยที่ 1 ไม่ค้าน ศาลอุทธรณ์อนุญาต

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้สืบนายสุนทรหรือโต๊ะเป็นพยาน หากนายสุนทรหรือโต๊ะเบิกความเจือสมฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นชนะคดีดังนี้ คำท้าของโจทก์จำเลยจึงเป็นคำท้าที่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทใช้บังคับได้ เมื่อนายสุนทรหรือโต๊ะเบิกความเจือสมฝ่ายโจทก์ โจทก์ก็เป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้าจำเลยที่ 1 จะกลับมายื่นคำร้องอ้างว่านายสุนทรหรือโต๊ะเบิกความโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำท้าภายหลังที่นายสุนทรหรือโต๊ะได้เบิกความต่อศาลไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลให้รับฟัง

พิพากษายืน

Share